“ถ้าไม่ได้บอล เราก็ตาย” คือคำพูดปลุกใจของ ดีแคลน ไรซ์ มิดฟิลด์คีย์แมนของทีม ที่พยายามปลุกเร้าเพื่อนนักเตะอาร์เซนอลทุกคนอย่าปล่อยให้ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ครองเกมได้เป็นอันขาดในเกมรอบรองชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เลกแรก
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในเกมที่เอมิเรตส์สเตเดียม โดยเฉพาะในช่วง 30 นาทีแรกของการแข่งขันเป็นไปตรงกันข้ามกับความตั้งใจของไรซ์ ฮีโร่ผู้ซัดฟรีคิก 2 ประตูในเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบที่แล้วกับแชมป์เก่าอย่างเรอัล มาดริด อย่างสิ้นเชิง
สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทีมของ มิเกล อาร์เตตา คือการที่พวกเขาไม่ได้พ่ายแพ้ด้วยสกอร์ที่มากไปกว่าแค่ 1-0 และยังมีความหวังที่จะแก้ไขทุกอย่างในเกมหน้า
ปัญหาคือ ‘เปแอสเช’ แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นของจริงในเวลานี้ที่แตกต่างจากทีม ‘ราชันชุดขาว’ ที่ทีมของ มิเกล อาร์เตตา เอาชนะได้อย่างขาดลอยในรอบที่แล้ว และในเวลาเดียวกันก็เป็นเครื่องสะท้อนให้อาร์เซนอลได้เห็น
ว่าพวกเขายังขาดอะไรอีกบ้าง
ศิโรราบตั้งแต่ 20 นาทีแรก
การสยบเรอัล มาดริด ได้ในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยการชนะทั้งไปและกลับด้วยสกอร์รวมกันถึง 5-1 ทำให้อาร์เซนอลรู้สึกเริ่มมีความหวัง และมีความเชื่อว่าพวกเขาก้าวขึ้นมาอยู่ในจุดที่พร้อมจะพิชิตแชมป์ยุโรปสมัยแรกแล้ว
แต่แค่ 20 นาทีแรกในการรับมือเปแอสเช ทีมของ มิเกล อาร์เตตา ต้องพบกับความจริงที่ไม่ใช่ภาพลวงตาว่าบางที ‘ระดับชั้น’ ของพวกเขาอาจจะไม่เท่ากับทีมที่อยู่ในระดับดีที่สุดจริงๆ
จริงอยู่ที่อาร์เซนอลเคยลงสนามพบกับเปแอสเชมาแล้วในรอบแรกลีกเฟสและเอาชนะได้ด้วย แต่ทีมของ หลุยส์ เอ็นริเก ในวันนี้ไม่เหมือนกับวันนั้น
ความเหนือชั้นของการเล่นทำให้พวกเขาชิงจังหวะทำประตูขึ้นนำได้อย่างรวดเร็วตั้งแต่นาทีที่ 4 จาก อุสมาน เดมเบเล แต่ที่มากกว่านั้นคือการกดทีมที่ขึ้นชื่อว่าแกร่งและหินที่สุดทีมหนึ่งของพรีเมียร์ลีกอย่างอาร์เซนอลจนแทบโงหัวไม่ขึ้นได้นานถึง 20 นาที
มันเป็นการทำลายความมั่นใจทุกอย่างที่อาร์เซนอลเคยเชื่อลงอย่างราบคาบ ด้วยการแสดงให้เห็นว่าของจริงมันเป็นแบบนี้
ทำให้ชวนคิดย้อนกลับมาว่า ถ้ากลับกันอาร์เซนอลโชว์พลังไล่บดถล่มใส่เปแอสเชอย่างหนักหน่วงในแบบเดียวกับที่แอสตัน วิลลา แสดงให้เห็นในเกมรอบที่แล้วที่วิลลาพาร์กบ้าง รูปเกมอาจจะพลิกผันไปอีกทางก็ได้
แต่ก็นั่นแหละ ‘คลาส’ ไม่ใช่สิ่งที่สอนกันได้บนกระดานแท็กติก
จอร์เจีย ‘Best’
การเปลี่ยนแปลงของเปแอสเชที่เคยพ่ายแพ้ให้กับอาร์เซนอล 2-0 ในรอบลีกเฟสคือ ควิชา ควารัตสเกเลีย
ปีกสตาร์ทีมชาติจอร์เจียถูกเปแอสเชคว้าตัวมาร่วมทีมจากนาโปลีในช่วงตลาดการซื้อ-ขายฤดูหนาวที่ผ่านมา และกลายเป็นผู้เล่นที่พลิกชะตาของทีมอย่างสิ้นเชิง
โดยระดับความสามารถของอดีตฮีโร่ยุคใหม่ที่พานาโปลีคว้าแชมป์เซเรียอาได้เหมือนกับที่ ดิเอโก มาราโดนา เคยทำได้จนได้รับสมญา ‘ควาราโดนา’ ถือว่าอยู่ในระดับหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดอยู่แล้ว
แต่สิ่งที่ควารัตสเกเลียมีมากกว่าคนอื่นคือความมั่นใจและความกล้าหาญที่จะวัดกับผู้เล่นอาร์เซนอล ไม่ว่าจะเป็น ยูร์เรียน ทิมเบอร์ แบ็กขวาที่เจองานหนักตลอดทั้งเกม หรือจะส่งตัวประกบมารุมสักกี่คนก็ตาม
การเล่นของเขาไม่เพียงแค่สร้างปัญหาให้กับแนวรับของอาร์เซนอล แต่ยังเป็นการปลุกเร้าเพื่อนร่วมทีมให้มีกำลังใจหาญกล้าที่จะเล่นฟุตบอลในแบบของตัวเองอย่างมั่นใจด้วย
สมราคาที่ แกเร็ธ เซาท์เกต อดีตผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ เปรียบเทียบควารัตสเกเลียกับ จอร์จ เบสต์ ตำนานปีกเทพบุตรแห่งทีมชาติไอร์แลนด์เหนือของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่จะเป็น นิวจอร์จ เบสต์ หรือจะเป็น จอร์เจีย เบสต์ ชื่อไหนก็เด็ดเหมือนกัน
นี่คือนักเตะที่เป็น The Best ในสนาม ซึ่งอาร์เซนอลไม่มี
อาวุธหนักที่น้อยเกินไป
แต่ความสุดยอดของควารัตสเกเลียไม่ได้แปลว่าเปแอสเชมีแค่เขาคนเดียว เพราะเอ็นริเกยังมีไพ่อีกหลายใบให้เลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นเดมเบเลที่ทรานส์ฟอร์มกลายเป็นร่างเทพหลังได้คู่หูชาวจอร์เจียเข้ามา
โดยยังมี เดซิเร ดูเอ, กอนซาโล รามอส หรือ แบรดลีย์ บาร์โคลา ที่พร้อมจะลงมาสร้างความอันตรายได้ทุกเมื่อ
จุดนี้ตรงข้ามกับอาร์เซนอลที่คนเดียวที่พอจะทำอะไรได้ในแนวรุกคือ บูกาโย ซากา สตาร์หมายเลขหนึ่งของทีม ที่พอจะเก็บบอลและสร้างโอกาสให้เพื่อนได้บ้าง แม้ว่าจะโดน นูโน เมนเดส ตามเก็บทั้งเกมเหมือนที่เคยเก็บ โม ซาลาห์ เข้ากระเป๋ามาแล้ว
ขุมกำลังอื่นๆ ในแนวรุกอย่าง กาเบรียล มาร์ติเนลลี หรือ เลอันโดร ทรอสซาด์ นั้นเมื่ออยู่บนเวทีระดับสูงสุดก็เห็นได้ชัดว่าแค่พอเล่นได้แต่ยังไม่ถึง
มองได้จากโอกาสทอง 2 หนที่มาร์ติเนลลีกับทรอสซาด์ได้รับคนละหนแต่ยิงไม่ผ่านมือของ จิอันลุยจิ ดอนนารุมมา นอกจากนั้นแล้วทั้งคู่แทบทำอะไรไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันนัก
โดยที่ก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าหากมี ไค ฮาเวิร์ตซ์ หรือ เบรียล เชซุส อยู่ในทีมด้วยอะไรๆ จะดีกว่านี้ไหม
อยากจะไปจุดสูงสุดของยุโรปอาวุธหนักต้องดีกว่านี้
ไรซ์คนเดียวแบกไม่ไหว
นักเตะอีกคนที่พอจะเชิดหน้าชูตาอาร์เซนอลได้คือ ดีแคลน ไรซ์ กองกลางห้องเครื่องคนสำคัญที่จะต่อกรกับ 3 กุมารแดนกลางของเปแอสเชอย่าง วิตินญา, ฟาเบียง รุยซ์ และ ชูเอา เนเวส
แต่ไรซ์คนเดียวต่อกรกับทั้ง 3 ไม่ไหว ภาระนั้นหนักหนาเกินไ
หนึ่งในคนที่น่าผิดหวังมากที่สุดของอาร์เซนอลคือ มาร์ติน โอเดการ์ด กัปตันทีมที่แทบไม่มีส่วนร่วมกับเกมและไม่ได้ยกระดับการเล่นขึ้นมาในวันที่ทีมต้องการ
ขณะที่ มิเกล เมริโน ก็ดูเหมือนจะสูญเสียตัวตนไปหลังถูกขยับไปยืนเป็นศูนย์หน้าจำเป็นบ่อยครั้ง (และดูเหมือนอาจจะดีกว่าการยืนกองหน้าด้วย เพราะหาโอกาสทำประตูได้ดี เมื่อคืนก็โหม่งฟรีคิกเข้าถ้าไม่โดนจับล้ำหน้าก่อน)
มันย้อนกลับไปถึงสาเหตุของการขาด โธมัส ปาร์ตีย์ ที่ติดโทษแบนจากการสะสมใบเหลืองครบ 2 นัดจากจังหวะการเตะบอลทิ้งที่ไม่จำเป็นในเกมที่ 2 กับเรอัล มาดริด ซึ่งไรซ์เป็นคนตำหนิดาวเตะวัย 31 ปีอย่างรุนแรง เพราะรู้ว่าการขาดเขาไปมันส่งผลกับทีมได้มากแค่ไหน
และผลนั้นเราเห็นได้ชัดเจน
ฟุตบอลดีใกล้ฉัน
ถึงอาร์เซนอลในยุคของอาร์เตตาจะได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในทีมที่เล่นอย่างมีทีมเวิร์กแข็งแกร่ง เหนียวแน่น และมีไหวพริบดีที่สุดทีมหนึ่ง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเปแอสเชแล้ว ฟุตบอลของพวกเขาเป็นเหมือนทีมที่ระดับต่ำลงไปอย่างน้อยครึ่งขั้นบันได
ชั้นเชิง ไหวพริบ การสอดประสาน การเอาตัวรอด การเล่นร่วมกัน ไปจนถึงความกระหายในการเล่น การใส่ใจรายละเอียดในการเล่นทุกเม็ด เปแอสเชแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเหนือกว่าพอสมควร
สิ่งที่ทำให้เปแอสเชเล่นได้แบบนี้ เครดิตส่วนหนึ่งอยู่ที่ระดับของนักเตะในทีมที่ล้วนมีเทคนิคความสามารถเฉพาะตัวยอดเยี่ยม สมเป็นของดีมีราคา
แต่อีกส่วนคือการผสมผสานนักเตะเหล่านี้ให้เล่นด้วยกันได้ ซึ่งต้องให้เครดิตกับ หลุยส์ เอ็นริเก ที่สามารถทำสิ่งที่ไม่มีโค้ชคนไหนทำได้กับเปแอสเชให้กลายเป็นความจริงได้ด้วยการเปลี่ยนทีมรวมสตาร์ให้กลายเป็นทีมที่เล่นกันเป็นทีมจริงๆ
เกมนี้จึงเป็นบทเรียนครั้งใหญ่สำหรับอาร์เตตา ในการทำการบ้านที่จะหาทางยกระดับและปรับสไตล์การเล่นของทีมใหม่
บางทีที่เป็นและทำอยู่นี้อาจจะยังดีไม่พอสำหรับการเป็นทีม ‘ผู้ชนะ’
ความหวังของ Underdog
อย่างไรก็ดี ไม่ได้แปลว่าอาร์เซนอลแพ้นัดนี้แล้วทุกอย่างจะจบ
สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเกมนี้คือการที่พวกเขาไม่แพ้มากไปกว่า 1-0 โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงโอกาส ‘ฝัง’ ของบาร์โคลาที่ต่อบอลกันมาอย่างสวยกับเพื่อนแต่ดันยิงถากเสาออกไป และรามอสที่ยิงไม่เน้นมากพอจนไปชนคานทั้งๆ ที่น่าจะใส่สกอร์ได้ในช่วงท้ายเกม
ถ้า 2 ลูกนี้เข้าไป สกอร์เป็น 3-0 หรือ 2-0 งานของอาร์เซนอลจะกลายเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ทันที
แต่ในสกอร์นี้พวกเขายังมีความหวังอยู่ เพียงแต่ต้องหาหนทางที่จะกลับมาให้ได้ ซึ่งบางครั้งอาจจะต้องเปิดโหมด ‘Underdog’ เล่นด้วยใจสู้
การได้ โธมัส ปาร์ตีย์ กลับมาในเกมหน้าจะช่วยได้อย่างมากแน่นอนในเรื่องของความแน่นในแดนกลาง ไรซ์จะได้รับอิสระในการขับเคลื่อนเกมขึ้นหน้ามากขึ้น
และเปแอสเชก็ไม่ใช่จะไร้จุดอ่อน เกมรุกสุดโฟลวนั้นแลกมาด้วยรูรั่วในแนวรับ โดยเฉพาะทางฝั่งของ อัชราฟ ฮาคิมี แบ็กขวาจอมเติม ที่เปิดพื้นที่ให้จู่โจมได้ โอกาสทองของมาร์ติเนลลีกับทรอสซาด์ก็มาจากการโจมตีพื้นที่ส่วนนี้
แต่ทั้งหมดทั้งมวลอาร์เซนอลต้องทำสิ่งแรกให้ได้ก่อนในเกมนัดหน้าที่พาร์กเดส์แพรงซ์
นั่นคือพวกเขาต้องเล่นให้ดีขึ้นกว่านี้ ต้องดีขึ้นแบบมากๆ
ไม่ได้หมายถึงการคอนโทรลเกมเบ็ดเสร็จ บดขยี้เปแอสเชให้แหลก แต่คือการถอดหัวใจลงไปเล่น สิ่งที่ต้องการคือเอา 1 ประตูกลับมาให้ได้ก่อน
ถ้าทำได้ ฟุตบอลลูกกลมๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ทีมที่เล่นเหนือๆ เล่นดีกว่า ก็ไม่ได้แปลว่าจะชนะเสมอไป
เห็นกันมานักต่อนักแล้ว
อ้างอิง: