วันนี้ (30 สิงหาคม) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีเผารถยนต์ตำรวจ หมายเลขดำ อ.1847/2565 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ฟ้อง วัชรพล นาคสวย, พลพล จิตรสุภาพ, จตุพล บุญพูล และ ณัฐพล เหล็กแย้ม ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ตามลำดับ
ในความผิดฐานร่วมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป มั่วสุมชุมนุมก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง, ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นให้ได้รับความเสียหาย, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยอัยการโจทก์ฟ้องระบุความผิดจำเลยสรุปว่า เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2565 ต่อเนื่องกันถึงเวลากลางคืน จำเลยกับพวกประมาณ 50-80 คน ซึ่งรวมเยาวชนชายอีก 2 คน ซึ่งถูกแยกตัวดำเนินคดี ได้ร่วมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปมั่วสุมชุมนุมก่อความวุ่นวาย ทำกิจกรรมทางการเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต บริเวณใต้ทางด่วนดินแดง ถนนวิภาวดี ใช้กำลังประทุษร้ายขู่เข็ญกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มารักษาความปลอดภัย
นอกจากนี้พวกจำเลยยังร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์รถยนต์ตราโล่หมายเลขทะเบียน 07444 และรถยนต์หมายเลขทะเบียน 6 กจ 5593 กทม. ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ใช้ปฏิบัติหน้าที่จนได้รับความเสียหายเป็นเงิน 91,692 บาท ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษพวกจำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 215, 216 และตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (9)
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธและได้รับการประกันตัว
โดยวันนี้ จำเลยทั้งสี่พร้อมทนายความเดินทางมาฟังคำพิพากษาตามนัดศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานโจทก์จำเลยทั้งสองฝ่ายแล้ว เห็นว่าฝ่ายโจทก์มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 คนที่อยู่ในเหตุการณ์เบิกความในข้อเท็จจริงมีรายละเอียดสอดคล้องกันว่า ในวันเกิดเหตุมีการชุมนุมปราศรัยที่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเสร็จแล้ว เวลาประมาณ 18.00 น ต่อมาหลังจากตรวจสอบภาพวงจรปิดและภาพจากสื่อออนไลน์แล้วพบว่ามีผู้ชุมนุมประมาณ 50-80 คนขี่รถจักรยานยนต์มาร่วมกันมั่วสุมชุมนุมก่อความวุ่นวายที่บริเวณใต้ทางด่วนดินแดง โดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อโควิด
โดยมีการขวางปาสิ่งของ ประทัด และลูกกระทบ รวมถึงยิงลูกแก้วและหนังสติ๊ก ใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ เป็นการมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ก่อความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ที่จำเลยที่ 1, 3 และ 4 อ้างว่าแค่ขี่รถจักรยานยนต์ผ่านเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น ไม่ได้เผาทำลายรถยนต์ 2 คันของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นฟังไม่ขึ้น เห็นว่าจำเลยทั้งสามกระทำผิดตามฟ้องจริง
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1, 3 และ 4 กระทำผิดกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำคุก ฐานร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ให้ได้รับความเสียหาย ซึ่งเป็นบทหนักสุด ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1, 3 และ 4 มีอายุ 18-19 ปีเศษ ย่อมรู้ผิดชอบชั่วดีแล้ว เห็นควรให้จำคุกจำเลยที่ 1, 3 และ 4 คนละ 4 ปี คำเบิกความของจำเลยทั้งสามเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้าง ลดโทษให้คนละ 1 ใน 4 คงจำคุกจำเลยที่ 1, 3 และ 4 คนละ 3 ปี ไม่รอลงอาญา
ส่วนจำเลยที่ 2 พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้เพียงว่า กระทำผิดฐานขัดขืนคำสั่งของเจ้าพนักงานตำรวจที่บอกให้หยุดแต่ไม่ยอมหยุดเท่านั้น ไม่ปรากฏภาพว่าจำเลยที่ 2 ร่วมวางเพลิงเผาทรัพย์รถยนต์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย ให้จำคุก 2 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ 1 ปี 4 เดือน ไม่รอลงอาญา
มีรายงานว่าการฟังคำพิพากษาในวันนี้มี ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ ตะวัน อดีตสมาชิกกลุ่มทะลุวัง เดินทางมาให้กำลังใจ ขณะที่ทนายความของจำเลยทั้งสี่เตรียมยื่นประกันตัวระหว่างอุทธรณ์สู้คดีต่อไป