“การโป้ปดมดเท็จอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้ตั้งเป้าจะให้ผู้คนเชื่อคำโกหกหรอก แต่ตั้งเป้าให้มั่นใจได้ว่าไม่มีใครยอมเชื่อสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว ผู้คนที่ไม่อาจจำแนกระหว่างความจริงกับคำโกหกย่อมไม่อาจแยกแยะระหว่างถูกกับผิด และผู้คนซึ่งถูกลิดรอนพลังอำนาจในการคิดและวินิจฉัยเยี่ยงนี้แหละที่จะตกอยู่ใต้การปกครองของคำโกหกอย่างสิ้นเชิงโดยไม่รู้เท่าทันและไม่จงใจด้วยซ้ำไป สำหรับผู้คนเช่นนี้ คุณจะทำอะไรกับพวกเขาก็ได้ตามใจชอบ” ฮันนาห์ อาเรนต์ นักปรัชญาชาวเยอรมัน (ค.ศ. 1906-1975)
สงครามแย่งชิงมวลชนด้วยการโฆษณาชวนเชื่อคือภารกิจสำคัญของผู้มีอำนาจทุกยุคทุกสมัย หากต้องการให้มวลชนอยู่ภายใต้การปกครอง และตัวเองสามารถครองอำนาจไปได้ตลอด
การรักษาอำนาจกับการโฆษณาชวนเชื่อจึงเป็นเสมือนคู่แฝดที่มิอาจพลัดพรากจากกันได้ และทุกวันนี้ในหลายประเทศกำลังสู้รบกันอย่างดุเดือดในนามของ ‘สงครามแย่งชิงมวลชน’
การโฆษณาชวนเชื่อจึงเป็นการหลอกลวงด้วยการบิดเบือนเป้าหมาย เพื่อแก้ไขปรับเปลี่ยนข้อมูลให้สอดคล้องกับความคิด ความเชื่อ อุดมการณ์ และโลกทัศน์ของผู้สร้างโฆษณาชวนเชื่อ รูปแบบของการบิดเบือน เช่น พูดเกินความจริง สร้างข้อมูลปลอม และละเว้นไม่ให้ข้อมูลที่เป็นจริง
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (ค.ศ. 1889-1945) ผู้นำแห่งพรรคนาซี คือแบบอย่างอันสุดยอดจนเรียกได้ว่าเป็นบิดาของนักโฆษณาชวนเชื่อ เขาก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศเยอรมนีจากการเลือกตั้ง แม้จะมีกองทัพเยอรมนีอันเกรียงไกรที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลกในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ก็ยังให้ความสำคัญกับการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อแย่งชิงมวลชนมาเป็นฝ่ายตัวเอง
ฮิตเลอร์ใช้การโฆษณาชวนเชื่อในฐานะที่ตัวเองเป็นนักพูดที่มีน้ำเสียงและวาทศิลป์เป็นเลิศ นักเล่าเรื่องที่เก่งกาจ และนักแสดงตัวยง จนทำให้มวลชนเยอรมันหลายสิบล้านคนที่ได้ชื่อว่าเป็นประชากรคุณภาพสูงของโลก มีการศึกษา มีเหตุมีผล สามารถคล้อยตามความคิดและการกระทำของฮิตเลอร์ได้อย่างสนิทใจในช่วงเวลาที่เขามีอำนาจ
ทิโมธี ชไนเดอร์ ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับ ‘ประวัติศาสตร์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว’ เคยพูดว่า “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ กลายเป็นนักโฆษณาชวนเชื่อ มันจะกลายเป็นอาชีพหลักของเขาไปตลอดชีวิต เมื่อปราศจากโฆษณาชวนเชื่อแล้ว เขาคงไม่อาจกลายเป็นบุคคลมีชื่อเสียงได้”
ฮิตเลอร์ อดีตนายสิบในกองทัพเยอรมนี ไต่เต้าเข้าสู่อำนาจทางการเมืองโดยมีอาวุธสำคัญคือการเป็นนักพูด เป็นครีเอทีฟคิดคำโฆษณาชวนเชื่อ และนักแสดง เขาใช้เวลาฝึกซ้อมการแสดงหน้ากระจกบ่อยๆ เพื่อให้ตัวเองดูดีที่สุด ก่อนจะขึ้นเวทีเพื่อพูดปลุกระดมมวลชน
ในหนังสือ การต่อสู้ของข้าพเจ้า ฮิตเลอร์กล่าวว่า “การใช้โฆษณาชวนเชื่อให้ได้ผลนั้นเป็นศิลปะอย่างแท้จริง”
สมัยฮิตเลอร์ครองอำนาจ เขาได้มือขวาคู่ใจคนหนึ่ง ซึ่งต่อมาคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงโฆษณาการ โยเซฟ เกิบเบิลส์ (ค.ศ. 1897-1945) ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกในสาขาประวัติศาสตร์วรรณคดี เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการปลุกระดม การโฆษณาชวนเชื่อ และสร้างข่าวเท็จจำนวนมาก หรือที่เรียกว่า Fake News ในปัจจุบัน เขามีลักษณะเด่นคล้ายฮิตเลอร์คือเป็นนักพูดตัวยง เป็นนักแสดงบนเวที และเป็นนักเล่าเรื่องผู้ยอดเยี่ยม
พวกเขาร่วมกันสร้างหลักการง่ายๆ จนเป็นพื้นฐานสำคัญของการทำโฆษณาชวนเชื่อแพร่หลายทั่วไปจนถึงปัจจุบัน ภายใต้หลักการง่ายๆ 7 ประการ และไม่น่าเชื่อว่าหลัก 7 ประการนี้ ทุกวันนี้ยังเป็นหลักคิดที่ไม่เคยล้าสมัยของบุคคลหรือหน่วยงานบางกลุ่ม
- การใส่ร้ายป้ายสี โจมตีตัวบุคคลเป้าหมาย ด่าคนนั้นออกสื่อไปเรื่อยๆ ซ้ำๆ กันหลายรอบ โดยธรรมชาติผู้คนชอบฟังเรื่องด้านลบของผู้คน พอฟังหรืออ่านตอนแรกคนฟังอาจไม่เชื่อ แต่ฟังไปบ่อยๆ ผู้คนก็เริ่มเชื่อแล้วว่าบุคคลที่ถูกใส่ร้ายป้ายสีมีพฤติกรรมแบบนั้นจริงๆ วิธีการแบบนี้เห็นตัวอย่างได้ง่ายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นวิธีสร้างความแตกแยกได้ชัดเจนที่สุด
นักการเมืองคนใดที่ถูกฝ่ายตรงกันข้ามเขียนข่าวเท็จออกสื่อทุกวัน มีนักวิจารณ์หรือพิธีกรข่าวคอยด่าทุกวัน วันละหลายรอบ ซ้ำๆ กันเป็นเดือน เป็นปี ไม่นานนัก ข่าวเท็จข่าวลวงเหล่านั้นก็กลายเป็นข่าวจริงในสายตาของผู้คนจำนวนหนึ่ง
- พูดประโยคสำคัญซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำข้อความเดิมๆ ไปเรื่อยๆ ซ้ำๆ คนฟังและผู้รับสารจะค่อยๆ ซึมซับและเชื่อไปเองว่าเรื่องที่เล่าเป็นความจริง ไม่ต่างจากที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นวิธีโปรโมตเพลงดัง ซึ่งหากค่ายเพลงตั้งใจจะให้เพลงใดฮิตติดตลาด ก็จ้างบรรดาดีเจเปิดเพลงนี้ซ้ำๆ บ่อยๆ ทางสถานีวิทยุหรือโทรทัศน์ เปิดให้ฟังไปเรื่อยๆ จนในที่สุดคนฟังจะชินหูแล้วเริ่มรู้สึกว่าเพลงนี้มีความไพเราะ กลายเป็นเพลงฮิตติดตลาดไปในที่สุด
- โกหกคำโต โยเซฟ เกิบเบิลส์ เคยกล่าวว่า “ยิ่งโกหกคำโตมากเท่าไร โกหกบ่อยๆ นานๆ ไป คนจะยิ่งเชื่อมากขึ้น” และ “การหลอกประชาชนจำนวนมากด้วยการพูดโกหกเรื่องใหญ่ๆ ง่ายยิ่งกว่าการโกหกเรื่องเล็กๆ”
- การตั้งฉายาฝ่ายตรงกันข้ามให้แย่ หรือกดให้รู้สึกว่าคนเหล่านั้นไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป และเมื่อคนทั่วไปไม่รู้สึกว่าเป็นมนุษย์ การปราบปราม การกำจัดก็ง่ายขึ้น มีตัวอย่างมากมายในอดีต เช่น “พวกยิวคือเชื้อโรคร้าย ต้องกำจัดให้หมด” หรือ “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป” จนถึงปัจจุบัน “ควายแดง” และ “สามกีบ”
- แบ่งแยกผู้คนเป็นฝ่ายต่างๆ ชัดเจน โลกของนักโฆษณาชวนเชื่อมักจะแบ่งมวลชนออกเป็นแค่สองฝ่าย เพื่อบีบให้คนตรงกลางต้องเลือกข้าง เป็นพวกเขา พวกเรา หากไม่ใช่พวกนาซีก็เป็นพวกคอมมิวนิสต์หรือพวกยิว ในสมัยที่ฮิตเลอร์กวาดล้าง สังหารโหดชาวยิวหกล้านกว่าคน คนเยอรมันที่เห็นใจชาวยิวก็จะถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกยิว จะโดนทำร้าย จับกุมคุมขัง เพราะฮิตเลอร์ต้องการสร้างภาพแบ่งกลุ่มคนเป็นคนดี คนเลว คนถูก คนผิด ให้ชัดเจน
แนวคิดนี้กลับมาโด่งดังมากเมื่อเกิดเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน 2001 หรือ 9/11 เมื่อโจรจี้เครื่องบินนำเครื่องบินทั้งสองลำพุ่งชนตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ และทำให้ จอร์จ บุช อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวหาว่า ซัดดัม ฮุสเซน อดีตประธานาธิบดีประเทศอิรัก อยู่เบื้องหลัง และตัดสินใจบุกอิรัก โดยมีวลีอันโด่งดังว่า “หากคุณไม่อยู่ฝ่ายเรา คุณคือผู้ก่อการร้าย” หรือกลยุทธ์การหาเสียงของบางประเทศ “ไม่เลือกเรา เขามาแน่”
- ฝ่ายธรรมะ ฝ่ายอธรรม ฮิตเลอร์พยายามสร้างภาพว่าตัวเองเป็นสัตบุรุษ เป็นเสมือนพระเยซูผู้ทรงคุณธรรม มีศีลธรรมอันดีงาม มาช่วยเหลือปกป้องชาวเยอรมัน ผู้สืบเผ่าพันธุ์จากพวกอารยัน ชนชาติที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด และผู้ร้ายคนชั่วคือพวกยิวที่เป็นพ่อค้าขูดรีด เอาเปรียบชาวอารยันมานาน และพวกคอมมิวนิสต์ที่มีความคิดชั่วร้ายในการปกครองประเทศ แม้กระทั่งก่อนการบุกประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศเชโกสโลวาเกียหรือโปแลนด์ ก็มีการปลุกระดมให้คนเยอรมันเข้าใจผิดว่าชนชาติเหล่านั้นเป็นคนชั่ว บังอาจข่มเหงรังแกคนเยอรมัน ชนกลุ่มน้อยในประเทศนั้นๆ รัฐบาลนาซีเลยต้องประกาศสงคราม
ไม่ต่างจากบางประเทศที่มักชูว่าตัวเองเป็นฝ่ายคนดี มีศีลธรรมอันดีงาม เป็นพวกจงรักภักดี ขณะที่อีกฝ่ายเป็นพวกชังชาติ
- การควบคุมสื่อ ภายหลังพรรคนาซีรุ่งเรืองอำนาจในปี 1933 ฮิตเลอร์และเกิบเบิลส์เข้าควบคุมหนังสือพิมพ์ทั้งหมดในเยอรมนี เพื่อกำหนดข่าวให้อยู่ในทิศทางเดียวกัน ไม่รวมถึงวิทยุกระจายเสียงที่อยู่ภายใต้รัฐบาลอยู่แล้ว และพวกเขาสร้างนักพูด นักปลุกระดมมวลชนหลายพันคนที่มีฝีปากจัดจ้าน ออกตระเวนไปพูดทั่วประเทศ ส่งเนื้อหาเพื่อทำให้ประชาชนชื่นชอบฮิตเลอร์ พรรคนาซี และความชอบธรรมในการรุกรานประเทศอื่นๆ
สิ่งที่พวกเขาต้องการสื่อสารเป็นข้อมูลด้านเดียวที่เป็นประโยชน์ต่อนาซีและเป็นผลร้ายต่อฝ่ายตรงกันข้าม และการนำเสนอข้อเท็จจริงทั้งหมดไม่เคยเกิดขึ้นในสื่อเลย
บรรดาผู้มีอำนาจมักจะเชื่อว่า ภารกิจแรกของการควบคุมสื่อคือข่าวสารความจริงที่เกิดขึ้นต้องถูกทำให้ตายไปก่อน และสื่อสารให้ผู้คนได้รับทราบเฉพาะข่าวที่พวกเขาต้องการเท่านั้น
การโฆษณาชวนเชื่อจึงเป็นเครื่องมือสำคัญมากในการรักษาอำนาจของฮิตเลอร์และพลพรรคนาซี เช่นเดียวกับการรักษาอำนาจของผู้นำหลายประเทศในยุคนี้ ที่ใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อผ่านสื่อโซเชียลต่างๆ เช่น LINE, X และ Facebook โดยมีกองทัพไซเบอร์ เหล่า IO บรรดานางแบกและนายแบกทั้งหลาย ผู้ทำหน้าที่ปั่นกระแส กล่าวหา ป้ายสี ยุยง สร้างข่าวปลอมในโลกออนไลน์ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเกลียดชังให้กับฝ่ายตรงกันข้าม
การโฆษณาชวนเชื่อกับการรักษาอำนาจจึงเป็นของคู่กันมาตลอดทุกยุคทุกสมัย
มนุษย์มักคิดว่าสิ่งที่เป็นความจริงจะมิใช่โฆษณาชวนเชื่อ แต่ในสังคมสมัยใหม่ที่มีความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม วิธีการโฆษณาชวนเชื่อจะมิใช่การพูดโกหกแบบปกติ ในความคิดของคนทั่วไปมองโฆษณาชวนเชื่อเป็นการทำให้คนเชื่อและเปลี่ยนความคิด