กำไรสุทธิแบงก์ไทยไตรมาส 2 ปรับตัวดีขึ้น จับตา ‘กสิกรไทย’ ตั้งสำรองเพิ่มขึ้น 32.77% (YoY) รองรับสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และปัจจัยทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่ส่งผลต่อลูกค้าบางกลุ่มที่ยังมีความเปราะบาง
วันนี้ (21 กรกฎาคม) ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1/66 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 10,994 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 2.36%
สำหรับกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและภาษีเงินได้มีจำนวน 27,223 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน โดยรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นหลักๆ จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เติบโตขึ้น ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการให้บริการลูกค้า ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to Income Ratio) อยู่ที่ 43.37% ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนซึ่งอยู่ที่ระดับ 42.50%
โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 4,268,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2565 จำนวน 21,731 ล้านบาท หรือ 0.51% หลักๆ เกิดจากรายการระหว่างธนาคารและตลาดเงินสุทธิ และเงินลงทุนสุทธิที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่เงินให้สินเชื่อสุทธิลดลง หลักๆ จากการดำเนินการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ การขายหนี้ และการตัดหนี้สูญ
อย่างไรก็ตาม เงินให้สินเชื่อใหม่ยังคงเติบโตในกลุ่มลูกค้าตามยุทธศาสตร์ของธนาคาร ทั้งนี้ เงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (% NPL Gross) อยู่ที่ระดับ 3.20% และค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) อยู่ที่ระดับ 147.31% สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทยตามหลักเกณฑ์ Basel III ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 ยังคงมีความแข็งแกร่งอยู่ที่ 19.01% โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 17.04%
สำหรับผลประกอบการงวดครึ่งปีแรก ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 21,735 ล้านบาท ลดลง 1.22% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยธนาคารยังคงดำเนินการตามหลักความระมัดระวังอย่างสม่ำเสมอในการพิจารณาตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss: ECL) ตามแนวทางที่ธนาคารมีการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์เชิงรุกอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการจัดการลูกค้าธุรกิจรายใหญ่รายหนึ่งที่เริ่มมีสัญญาณความเสื่อมถอยในไตรมาสก่อน และได้มีสำรองฯ ครบถ้วนแล้วในไตรมาส 1/66 โดยแม้สินเชื่อดังกล่าวถูกจัดเป็นสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตในไตรมาส 2 ธนาคารก็ยังคงมีความแข็งแกร่งจากการเตรียมการมาก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม สำรองฯ ในไตรมาส 2 นี้ แม้ว่ายังคงอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 32.77% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แต่มีความใกล้เคียงกับที่ธนาคารได้ประมาณการไว้ก่อนหน้า เพื่อรองรับสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และปัจจัยทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่ยังส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศไม่กระจายตัวทั่วถึง และส่งผลต่อลูกค้าบางกลุ่มที่ยังมีความเปราะบาง
เอสซีบี เอกซ์ เผยผลกำไรสุทธิไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น
บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/66 จำนวน 11,868 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการขยายตัวของฐานรายได้อย่างแข็งแกร่งและการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้การบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม สำหรับครึ่งปีแรกของปี 2566 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 22,864 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ในไตรมาส 2/66 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 30,791 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตของสินเชื่อที่มีคุณภาพ ตลอดจนการขยายตัวของธุรกิจสินเชื่อผู้บริโภค ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและอื่นๆ มีจำนวน 11,119 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสะท้อนถึงการเริ่มฟื้นตัวของค่าธรรมเนียมจากธุรกรรมทางการเงินและสินเชื่อ ในขณะที่รายได้จากการลงทุนและการค้ามีจำนวน 2,406 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการปรับมูลค่าของพอร์ตการลงทุนตามราคาตลาดปัจจุบัน
โดยบริษัทฯ ได้ตั้งเงินสำรองในเชิงรุกจำนวน 12,098 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพื่อรองรับการดำเนินงานของธุรกิจในกลุ่มธนาคารพาณิชย์และกลุ่มสินเชื่อผู้บริโภคที่ไม่มีหลักประกัน ภายใต้สถานการณ์ที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศยังคงเปราะบาง มีความอ่อนไหวต่อปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน ทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ทั้งนี้ อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้นไปสู่ระดับ 170.6%
ขณะที่คุณภาพของสินเชื่อโดยรวมยังคงอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ โดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 อยู่ที่ 3.25% ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจาก 3.32% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2566 และเงินกองทุนรวมตามกฎหมายของบริษัทฯ ยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 18.7%
อาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ผลการดำเนินงานโดยรวมในไตรมาส 2 ของปี 2566 มีความแข็งแกร่ง โดยมี ROE เพิ่มขึ้นไปสู่ระดับ 10% เป็นครั้งแรกนับจากวิกฤตโควิด บริษัทฯ ยังคงดำเนินธุรกิจตามหลักความระมัดระวังรอบคอบภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน และมุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่าผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน กลุ่ม SCBX ยังคงมุ่งมั่นในการวางรากฐานในการเติบโตในระยะต่อไป โดยล่าสุดได้ประกาศความร่วมมือกับ KakaoBank ผู้นำด้านธนาคารดิจิทัลในประเทศเกาหลีใต้ เพื่อร่วมขอใบอนุญาตธนาคารไร้สาขาในประเทศไทย และแพลตฟอร์มโรบินฮู้ดได้เปิดตัวธุรกิจบริการเรียกรถ (Ride Hailing) นอกจากนี้ ความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งแรก มูลค่ารวม 50,000 ล้านบาท สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพในการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม SCBX”
กรุงศรีเผยผลกำไรครึ่งแรกปีนี้โต 12.1% สู่ระดับ 1.71 หมื่นล้านบาท
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ รายงานผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2566 มีกำไรสุทธิจำนวน 1.71 หมื่นล้านบาท เติบโต 12.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักคือรายได้จากการดำเนินงาน จากการเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย รวมทั้งการเริ่มรับรู้รายได้เพิ่มเติมซึ่งเป็นผลจากการควบรวมธุรกิจในต่างประเทศในไตรมาสที่ 2
ผลประกอบการที่แข็งแกร่งได้รับแรงสนับสนุนหลักจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย แม้ว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจะเพิ่มขึ้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เร่งตัวขึ้น รวมถึงภาระการตั้งสำรอง เงินให้สินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น 3.1% จากสิ้นปี 2565 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเติบโตของสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ 9.1% และสินเชื่อเพื่อรายย่อยที่ 4.5% ซึ่งครอบคลุมบริษัทในเครือแห่งใหม่ในประเทศฟิลิปปินส์และเวียดนาม
สำหรับอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) คุณภาพสินทรัพย์โดยรวมอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง โดยอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ค่อนข้างคงที่อยู่ที่ 2.31%
ขณะที่สัดส่วนการตั้งสำรองต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 134 bps โดยอัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 161.7% และอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (ของธนาคาร) อยู่ที่ 17.72% เทียบกับ 17.97% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 กรุงศรี ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าในระบบเศรษฐกิจไทยจากมูลค่าสินทรัพย์ สินเชื่อ และเงินรับฝาก และเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) มีสินเชื่อรวม 2.01 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.80 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.70 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 299,600 ล้านบาท หรือเทียบเท่า 17.72% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นของเจ้าของคิดเป็น 13.02%
ก่อนหน้านี้ ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยได้รายงานกำไรสุทธิสำหรับงวดครึ่งแรกของปี 2566 จำนวน 21,423 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.2% จากช่วงเดียวกันของปี 2565 ขณะที่ทีเอ็มบีธนชาตรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/66 ที่ 4,566 ล้านบาท โต 33% รวม 6 เดือนแรกฟันกำไรแล้ว 8,861 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จากการบริหารค่าใช้จ่ายและการตั้งสำรองที่ลดลง