วันนี้ (9 กันยายน) ที่พรรคภูมิใจไทย สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยภายหลังหารือกับภาคเอกชนว่า วันนี้เป็นการหารือกันระหว่างสมาคมภัตตาคารอาหารแห่งประเทศไทย แพลตฟอร์ม วงใน ไลน์แมน แกร็บ มาพูดคุยกันเกี่ยวกับความเห็นโครงการคนละครึ่ง ที่อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี มีแนวคิดหลักว่าจะกลับมาใช้ ข่าวดีอย่างหนึ่งที่คิดว่าน่าจะดำเนินการได้เร็ว คือ ภาคเอกชนมีความพร้อมมากที่อยากจะช่วยเหลือในโครงการนี้ ยินดีที่จะแชร์ข้อมูลร้านอาหารให้กับกระทรวงการคลังทำฐานข้อมูล หมายความว่าคนที่ใช้แพลตฟอร์มอยู่แล้วอาจจะไม่ต้องลงทะเบียนใหม่
นอกจากนี้ ยังรับฟังปัญหาของโครงการในช่วงที่ผ่านมา เช่น หลักเกณฑ์เงื่อนไขที่มากไป ระยะเวลาการใช้จะใช้อย่างไรให้เหมาะสม วงเงินอย่างไรที่จะเหมาะสม ซึ่งภาคเอกชนเสนอ 200 บาทต่อวัน จากเดิมที่โครงการคนละครึ่งให้ 150 บาทต่อวัน ซึ่งทางเราได้รับข้อเสนอ แต่ด้วยภาวะที่เราเป็นรัฐบาลช่วงรอยต่อ เงินที่เหลือในโครงการมีไม่มาก และนโยบายของนายกฯ จะไม่มีการกู้เพิ่ม เพราะหนี้สาธารณะค่อนข้างสูง ทำให้ทรัพยากรเงิน ทรัพยากรเวลามีจำกัด ก็อาจจะได้ไม่ถึงตามที่ท่านเสนอมา แต่ยืนยันว่าไม่น่าเกลียดสามารถที่จะขับเคลื่อนได้แน่นอน และครั้งนี้เราจะขยายสิทธิ์เพิ่มจำนวนด้วย แต่ก็จะนำหารือให้ท่านนายกฯลองพิจารณาดูว่าจะหาเงินมาจากไหน
ส่วนข้อกังวลเรื่องการเก็บภาษีย้อนหลังที่ทางร้านค้ากังวลมากว่าเมื่อเข้าโครงการจะทำให้ต้องเสียภาษีย้อนหลัง สิริพงศ์ ยืนยันว่า แนวคิดของอนุทิน คือ ไม่มีการเก็บภาษีย้อนหลัง และยังมีแนวคิดอีกว่าสิทธิประโยชน์สำหรับผู้อยู่ในระบบภาษีอาจมีเพิ่มขึ้นด้วย แต่รายละเอียดอย่างไรต้องรอนายกฯแถลง
นอกจากนี้ ยังได้รับข่าวดีจากแพลตฟอร์มต่างๆ ว่าในช่วงที่ทำกิจกรรม อาจจะมีส่วนลดพิเศษในโครงการคนละครึ่งด้วย ซึ่งจะนำข้อเสนอของสมาคมต่างๆ เสนอต่อว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อทำการบ้านไว้ก่อนแล้วจะเริ่มต้นให้เร็วที่สุดหลังจากแถลงนโยบายรัฐบาล
ส่วนข้อกังวลเรื่องแอปพลิเคชันที่จะใช้ในโครงการนั้น สิริพงศ์ กล่าวว่า เมื่อวาน (8 กันยายน) ปลัดกระทรวงการคลัง บอกว่าหากอยู่ในฐานระบบอยู่แล้วก็ไม่ต้องทำเพิ่ม เมื่อถึงเวลาก็ใช้ได้เลย แต่คนที่ไม่ได้อยู่ในระบบก็ลงทะเบียนใหม่ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดา
ฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาพ่อค้าแม่ค้า ประมาณ 700,000 รายในประเทศ ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจในช่วงรัฐบาลที่ผ่านมา เกิดความทุกข์ยาก ร้านค้าต่างๆต้องปิดตัวลง คนที่ไม่ได้ปิดร้านต้องอยู่อย่างหวานอมขมกลืน เพราะยอดขายตกต่ำ ในพื้นที่กรุงเทพฯ ตกไปถึง 60% ส่วนต่างจังหวัดยอดขายตกต่ำไปเกือบ 90% ซึ่งที่ผ่านมาก็มีหนี้สินก่อตัวเพิ่มขึ้น
ตนในฐานะเป็นตัวแทนผู้ประกอบการร้านอาหาร ได้รับฟัง และรวบรวมปัญหามาโดยตลอด จนมาถึงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ที่เราหมดหวังกับรัฐบาลที่แล้ว ตนได้บังเอิญไปเจอผู้บริหารของไลน์แมน – วงใน ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกันและข้อมูลทุกอย่างตรงกัน ว่าทางรอดของผู้ประกอบการร้านอาหาร คือ การต้องมีโครงการคนละครึ่ง
ที่ผ่านมาผู้ประกอบการได้พยายามเสนอไปกับรัฐบาลชุดที่แล้วแต่ก็ไม่เป็นผล มีการให้เหตุผลกลับมาว่าชื่อโครงการเหมือนกับรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ตนก็พยายามกลับไปหารือ เพื่อจะเปลี่ยนชื่อโครงการ จนเรียกว่าเกือบจะหมดหวังไปแล้ว พอมีรัฐบาลใหม่เกิดขึ้นก็ได้รับการติดต่อ ว่ารัฐบาลของพรรคภูมิใจไทยจะผลักดันนโยบายคนละครึ่งขึ้นมาเป็นนโยบายแรกๆ กระทั่งเมื่อวานนี้ (8 กันยายน) ได้รับความชัดเจนว่าปลัดกระทรวงการคลังมีงบประมาณในส่วนนี้ ทำให้เชื่อว่าตอนนี้ผู้ประกอบการร้านอาหารทั้งหมด จะมีความสุข และมีความหวังในชีวิตมากขึ้น ว่าเราจะรอดแล้ว นอกจากนี้ เท่าที่รับฟังเสียงของประชาชนทุกคนพูดเป็นสิ่งเดียวกันว่า ต้องการโครงการคนละครึ่งกลับมา
ฐนิวรรณ บอกอีกว่าต้องขอชื่นชม ว่าการทำงานของพรรคภูมิใจไทยรวดเร็วมาก เรียกว่าเร็วจนน่าตกใจ ซึ่งวันนี้ยังได้สะท้อนในเรื่องของการเก็บภาษีย้อนหลัง กับสิริพงศ์ ด้วย และรับปากว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้ โดยให้สิทธิ์กับผู้เสียภาษี พร้อมเปิดรับฟังว่าผู้ที่เสียภาษีอยู่ต้องการอะไรจากรัฐบาล โดยเน้นย้ำว่าขออย่ามีเงื่อนไขใดๆเพิ่มเติม ขอให้ผู้ประกอบการได้รับทุกอย่างแบบง่ายๆ เราเชื่อมั่น ว่าโครงการคนละครึ่งของรัฐบาลนี้ จะมีลูกเล่นที่ดีกว่าที่ผ่านมา
ฐนิวรรณ ยังกล่าวต่อว่าในรัฐบาลชุดที่แล้วเราพยายามทุกอย่าง ทั้งเรื่องขออย่าขึ้นค่าแรง อย่าขึ้นค่าพลังงาน แต่รัฐบาลก็ไม่ฟังเสียงประชาชน เพราะผู้ประกอบการเป็นเรื่องที่บีบหัวใจ โดยเฉพาะช่วงโควิดที่ทุกอย่างแย่มากจริงๆ วันนี้เรามีความหวังเพราะรัฐบาลนี้ฟังเสียงเราแล้ว
ขณะที่ ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai ให้สัมภาษณ์ถึงความกังวลในการเชื่อมระบบโครงการคนละครึ่ง ถ้ารัฐบาลชุดใหม่ดำเนินโครงการ ว่า เรื่องการเชื่อมระบบเราไม่กังวลเพราะเป็นโครงการเดิม ระบบเดิม และอาจจะมีร้านอาหารเปิดใหม่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทางไลน์แมน ก็มีฐานข้อมูลเดิมอยู่แล้วค่อนข้างเยอะ พร้อมที่จะแชร์ข้อมูลให้กับรัฐบาล และจะทำให้การลงทะเบียนง่ายขึ้น
ส่วนโครงการคนละครึ่งในเฟสที่ผ่านๆ มา ในเรื่องของการทำทุรกรรมผ่านแพลตฟอร์ม มีปัญหาอะไรที่จะทำให้เราต้องปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมหรือไม่ ยอด กล่าวว่า ไม่ค่อยกังวลมาก เพราะถือเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จค่อนข้างดี ยอดขายร้านขนาดเล็กโตขึ้น 2.5 ถึง 4 เท่า และยอดขายก็ต่อเนื่องหลังโครงการด้วย ฉะนั้นเรื่องระบบก็จะไม่มีปัญหา อาจจะมีเล็กๆ น้อยๆ เช่นการโอนเงิน ซึ่งทางร้านฝากมาว่า อยากได้เป็น 4+1 เพราะเฟสที่แล้วเป็น 4+3 ร้านอาหารหมุนเงินไม่ทัน และหลังจากที่พูดคุยกับคณะทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลภูมิใจไทย คิดว่า 4+1 ไม่น่ามีปัญหาอะไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อโครงการคนละครึ่งเข้าแล้ว ทางแอปพลิเคชั้นจะต้องมีการเพิ่มพนักงาน หรือสำรองพนักงานเพื่อรองรับการทำงานที่อาจเกิดปัญหาของระบบหรือไม่ ยอด กล่าวว่า เป็นไปได้ เพราะตอนนี้เรารอความชัดเจนระยะเวลาของโครงการก่อน และแน่นอนว่าในช่วงที่โครงการเกิดยอดการใช้จ่ายก็ต้องเพิ่มขึ้นแน่นอนทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ จึงต้องเพิ่มพนักงานคนขับ รายได้ก็จะถูกกระจายไปที่คนขับแน่นอน
ส่วนหากมีการเพิ่มวงเงิน 200 บาทต่อวัน จะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจมากขึ้นเพียงใด ยอด กล่าวว่า เป็นโครงการที่ออกแบบมาได้ค่อนข้างดี copayment ช่วยกันจ่าย จะมีระยะเวลาที่ใช้จ่ายได้ยาวนานขึ้น จำกัดเงินต่อวัน ฉะนั้นเอฟเฟกต์ก็ค่อนข้างยาว การเพิ่มเงินเป็น 200 บาทจะทำให้คนเอ็นจอย ร้านอาหารที่บิลต่อหัวสูงขึ้น ซึ่งการกระจายรายได้ก็จะยิ่งดีกว่าเดิม
อย่างไรก็ตามเราก็ต้องดูขนาดของงบประมาณทั้งหมด รวมถึงระยะเวลาของโครงการ แต่จากที่ฟังจากรัฐบาลก็พยายามทำอย่างเต็มที่ในการรวบรวมงบประมาณเพื่อสนับสนุนโครงการนี้ และเมื่อโครงการเปิดก็คิดว่า จะมีร้านอาหารมาลงทะเบียนเพิ่มขึ้นกับเรามากอย่างแน่นอน แพลตฟอร์มก็สนับสนุนต่อยอดกับทางรัฐบาล และการทำโปรโมชั่นแคมเปญต่างๆ เพื่อกระตุ้นยอดใช้จ่ายให้เศรษฐกิจหมุนไปยิ่งกว่าเดิม