ตุลาคมปีที่แล้ว พริษฐ์ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ทายาทของหลวงเสรีเริงฤทธิ์ หนึ่งในคณะราษฎร ผู้มีส่วนในเหตุการณ์อภิวัฒน์สยาม เมื่อ พ.ศ. 2475 ที่มีศักดิ์เป็น ‘เหลน’ แท้ๆ เคยประกาศตัวเข้าร่วมงานการเมืองกับพรรคประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองเก่าแก่ที่สุดของไทย โดยระบุว่า
“ผมเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์จะได้รับการตอบรับที่ดีขึ้น จะต้องยึดมั่นหลักการประชาธิปไตยอย่างชัดเจนและมั่นคง แต่แค่พูดไม่ได้หรอกครับ ต้องลงมือทำให้เป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชนด้วยครับ”
นั่นคือเหตุผลส่วนหนึ่งที่เขาเปิดเผยต่อสาธารณชน ในการตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ในครั้งนั้น
หลังผ่านการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค. ผ่านมา กระทั่งในเวลานี้ที่ฝุ่นควันทางการเมืองยังคงหนาแน่น ยังมองไม่เห็นทิศทางที่ชัดเจนของการเมืองในการรวมเสียงเพื่อจัดตั้งรัฐบาล โดยมีสองขั้วที่แบ่งข้างอย่างชัดเจน นั่นคือ พรรคเพื่อไทย-อนาคตใหม่ และพรรคพลังประชารัฐ ที่ประกาศหนุน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้งในสมัยที่สอง พรรคประชาธิปัตย์เปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคใหม่ หลังพ่ายแพ้ต่อการเลือกตั้ง แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปถึงจุดยืนทางการเมือง
ขณะที่ พริษฐ์ เปิดเผยกับ THE STANDARD ว่า หากพรรคประชาธิปัตย์เลือกที่จะสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐเป็นรัฐบาล และหนุน พล.อ. ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ตนเองก็จะขอลาออกจากสมาชิกพรรคทันที โดยให้เหตุผลว่า
“3.9 ล้านเสียงที่เลือกประชาธิปัตย์มา ก็เพราะจุดยืนของท่านอดีตหัวหน้าอภิสิทธิ์ จะมากจะน้อยไม่เป็นไร แต่เราต้องรักษาสัจจะของนักการเมือง ย้อนกลับไป พรรคประชาธิปัตย์ต่อสู้กับการเลือกตั้งสกปรก ปี 2500 สู้กับเผด็จการมากมาย พฤษภาทมิฬเราก็อยู่ฝ่ายต้านการสืบทอดอำนาจ วันนี้ถ้าเลือกเดินทางที่จะร่วมกับลุง นอกจากผิดคำสัญญาแล้ว ส่วนตัวมองว่าผิดไปจากอุดมการณ์พรรคอีกด้วย พรรคการเมืองเป็นองค์กรที่ร่วมกันด้วยอุดมการณ์ ถ้าไปกันไม่ได้เราก็ถอยออกมาดีกว่าครับ”
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
