วันนี้ (20 เมษายน) พล.ต.ต. จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีทางเพศที่มีผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์แจ้งความกับ ปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่าจนถึงวันนี้มีผู้เสียหาย 14 ราย และมีเป็นคดีความจำนวน 13 คดี
กลุ่มผู้เสียหายที่มาแจ้งเพิ่มเติมในวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา มีจำนวน 8 คดี ขณะนี้ตำรวจเร่งสอบสวน จำแนก แยกพิจารณาข้อหาและอายุความ ก่อนจะเข้าสู่การสืบสวนสอบสวนตามขั้นตอน และอาจจะมีบางคดีที่หมดอายุความไปแล้ว
ส่วนกำหนดการเรียกตัวผู้ต้องหาเข้ามารับทราบข้อกล่าวหา จนถึงตอนนี้ยังไม่มีกำหนด พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวนรายละเอียดให้ชัดเจน
หนึ่งในผู้เสียหายที่มาพบพนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจนครบาล (สน.) ลุมพินี ในวันที่ 18 เมษายน พนักงานสอบสวนได้สอบถามในฐานะพยาน เพื่อยืนยันพฤติกรรมของผู้ต้องหา เพราะเหตุเกิดที่อังกฤษ
สำหรับคดีความผิดทางเพศที่ปริญญ์ตกเป็นผู้ต้องหา จนถึงขณะนี้ มี 3 คดี ที่อยู่ในขั้นตอนส่งฟ้องฝากขังผัดแรกไปแล้ว ซึ่งผู้ต้องหาได้รับการปล่อยชั่วคราวด้วยการวางหลักทรัพย์ประกัน 700,000 บาท รวม 3 คดี พร้อมมีเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เว้นแต่ได้รับอนุญาต และต้องแจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ทราบ โดยจะมีการพิจารณาเป็นกรณีไป
ด้าน ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ หรือทนายตั้ม ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมกรณีผู้เสียหายทยอยเข้าแจ้งความ โดยเชื่อว่าจะมีเหยื่อติดต่อเข้ามาอีก แม้จะมีคนที่ถูกข่มขืนถอนตัวไป 2 คดี
ษิทรากล่าวอีกว่า คาดว่าคดีคงยังไม่ส่งฟ้องเร็วๆ นี้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้กันผู้เสียหายเป็นพยาน 3 ราย
อย่างไรก็ตาม มีผู้ใหญ่ที่สนิทกับตนและหัวหน้าพรรคการเมืองหนึ่งมาเตือนว่าให้ระวังโดนพรรคโต้กลับ ตนไม่ทราบว่าเป็นการเตือนในลักษณะไหน แต่ยอมรับว่ากังวลว่าจะมีคนแฝงตัวเป็นผู้เสียหายมาทำให้ดูเป็นเกมการเมือง จนทำให้เหยื่อทั้งหมดดูเป็นการสร้างเรื่องขึ้นมา จากนี้มีใครติดต่อมาต้องระวังมากขึ้น ที่ผ่านมาก็ได้ตรวจสอบทุกเคส บางคนมีแชต ภาพถ่ายหลักฐาน แต่คนที่มาเล่าเหตุการณ์อย่างเดียวก็คงต้องตรวจสอบอย่างละเอียด
ษิทรากล่าวต่อไปว่า ตอนนี้ไม่ได้พูดคุยกับผู้เสียหายรายแรกแล้ว เพราะรายนี้ไม่ให้ความร่วมมือ ซึ่งมีตำรวจยศ พล.ต.ต. นายหนึ่ง คอยมาคุยกับแม่ จึงกังวลว่าจะเป็นคนห้ามผู้เสียหายมาคุย ซึ่งตนเองบอกให้ทำหนังสือมอบฉันทะให้ไปค้านการประกันตัวผู้ต้องหาที่ศาล แต่เหยื่อรายนี้ก็ไม่ทำ ทั้งนี้ได้มอบคลิปอีกชิ้นระหว่างผู้เสียหายกับผู้ต้องหาเป็นหลักฐานให้ตำรวจไปแล้ว
ส่วนกรณีพรรคประชาธิปัตย์ตั้งกรรมการสอบสวนเรื่องนี้ ทนายตั้มกล่าวว่า ไม่ทราบว่าพรรคจะดำเนินการอย่างไร เพราะช้าไปแล้ว อีกทั้งพรรคยังไม่มีอำนาจสอบสวน ตามจริงพรรคน่าจะทราบพฤติกรรมผู้ก่อเหตุมาก่อนแล้ว การที่พรรคออกมาแถลงขอโทษมองว่าถูกสังคมกดดัน
กรณีการถอนแจ้งความ สำหรับคดีที่เกิดขึ้นก่อนปี 2562 การข่มขืนจัดว่าเป็นการกระทำความผิดต่อร่างกาย สามารถยอมความได้ หากมีการพูดคุยระหว่างสองฝ่าย และเกิดการยอมความสำเร็จ คดีอาญานั้นก็จะยุติลง แม้มีหลักฐานชัดเจน ตำรวจไม่สามารถดำเนินคดีแทนได้