วานนี้ (12 ก.ค.) เวลา 18.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ ซึ่ง นายไมตรีปาละ สิริเสนา ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา จัดขึ้นอย่างสมเกียรติและอบอุ่น ณ ทำเนียบประธานาธิบดี กรุงโคลัมโบ สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา หลังจากนั้น เวลา 18.30 น. นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา เข้าหารือทวิภาคีแบบเต็มคณะระหว่างไทย-ศรีลังกา สรุปสาระสำคัญดังนี้
ประธานาธิบดีศรีลังกาได้กล่าวเปิดการหารือด้วยการแสดงความชื่นชมยินดีต่อความสำเร็จของไทย ในการช่วยชีวิตเยาวชนไทยทั้ง 13 คน ที่ติดอยู่ในถ้ำหลวงได้อย่างปลอดภัย นับเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของคนไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวตอบว่า ความสำเร็จมาจากความพยายามและแรงสนับสนุนจากทุกคนทุกฝ่าย ที่ช่วยกันจนสำเร็จลุล่วงด้วยดี
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีศรีลังกาต่างยินดีที่ไทยและศรีลังกามีความร่วมมือและความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ทางศาสนา ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของความร่วมมือในด้านต่าง ๆ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะพัฒนาความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนให้ขยายตัวมากยิ่งขึ้น โดยการยกระดับสถานะความสัมพันธ์เป็น ‘หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ’ ผ่านการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจและการเปิดการเจรจาความตกลงการค้าเสรีระหว่างกัน ซึ่งจะเร่งรัดให้มีการเปิดเจรจาโดยเร็ว และขับเคลื่อนในส่วนที่สามารถดำเนินการได้ก่อน หากสำเร็จจะทำให้ทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุเป้าหมายการเพิ่มมูลค่าทางการค้าเป็น 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2563
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมศักยภาพและการพัฒนาเศรษฐกิจของศรีลังกา โดยเฉพาะวิสัยทัศน์ของรัฐบาลศรีลังกาที่จะผลักดันให้ศรีลังกาเป็นศูนย์กลางทางการเงินและการขนส่งทางทะเลของภูมิภาค ซึ่งไทยและศรีลังกาจะผลักดันการเชื่อมโยงทางทะเลระหว่างโคลัมโบกับระนอง เพื่อช่วยขับเคลื่อนและขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง สำหรับความร่วมมือทางวิชาการ ไทยยินดีช่วยเหลือศรีลังกา เพื่อพัฒนาขีดความสามารถและศักยภาพของศรีลังกาที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการผลิต การเพิ่มมูลค่าสินค้าทางการเกษตร และการแปรรูปวัตถุดิบ รวมทั้งสนับสนุนความร่วมมือด้านอื่นๆ ในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนตามที่ศรีลังกาต้องการ ซึ่งประธานาธิบดีศรีลังกาได้กล่าวชื่นชมหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และจะนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาชุมชนของศรีลังกาด้วย
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างประชาชนผ่านการท่องเที่ยวเชิงศาสนา และสนับสนุนความร่วมมือเชิงวัฒนธรรม โดยนายกรัฐมนตรีเสนอให้มีการจัดทำแพ็กเกจการท่องเที่ยวให้น่าสนใจ มีกิจกรรมหลายรูปแบบเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ซึ่งศรีลังกาพร้อมดำเนินการ
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณศรีลังกาที่จะมอบหน่อโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ให้แก่รัฐบาลไทย สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ทางพระพุทธศาสนาที่มีมายาวนาน และเป็นรากฐานของความสำคัญของไทยและศรีลังกา
ทั้งนี้ ไทยพิจารณาให้วัดวชิรธรรมาราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นสถานที่ที่มีความเหมาะสมสำหรับประดิษฐานหน่อโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ของศรีลังกา โดยไทยได้จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อจัดเตรียมพิธีรับมอบหน่อโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์จากรัฐบาลศรีลังกาอย่างสมเกียรติ
ในช่วงท้าย ผู้นำทั้งสองฝ่ายหารือเรื่องความร่วมมือระดับพหุภาคี โดยยินดีสนับสนุนกันและกันในเวทีพหุภาคีที่ไทยและศรีลังกาเป็นสมาชิก และพร้อมร่วมมือกันรับมือกับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งสองฝ่ายสามารถเป็นประตูเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคเอเชียใต้และอาเซียน รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือด้านความเชื่อมโยงและคมนาคมในภูมิภาค ภายใต้แผนแม่บทด้านความเชื่อมโยงในกรอบภูมิภาคที่ทั้งสองฝ่ายเป็นสมาชิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรอบ BIMSTEC ซึ่งศรีลังกามีศักยภาพ และสามารถมีบทบาทที่สร้างสรรค์ในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการพัฒนาท่าเรือและความเชื่อมโยงทางทะเล ภายใต้แผนแม่บทด้านการคมนาคม BIMSTEC ได้
ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีศรีลังการ่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามเอกสารความร่วมมือต่างๆ จำนวน 4 ฉบับ ดังนี้
- บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ
- สนธิสัญญาว่าด้วยการโอนตัวผู้กระทำผิดและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญาระหว่างไทยและศรีลังกา
- แผนการดำเนินโครงการความร่วมมือเพื่อการพัฒนาชุมชนต้นแบบอย่างยั่งยืน บนพื้นฐานการประยุกต์ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในศรีลังกา
- บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการด้านการสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าพื้นฐาน ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมพื้นฐานศรีลังกากับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
Photo: สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี