วันนี้ (27 สิงหาคม) ที่อาคารเอ็กซิบิชั่นฮอลล์ 12 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานพิธีเปิดงาน ‘เกษตรสร้างชาติ ครั้งที่ 2 และรวมพลคนเกษตรสร้างชาติ’ พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ ‘เกษตรทางรอดของประเทศไทย’ ขับเคลื่อนเกษตรกรรุ่นใหม่ (Young Smart Farmer) และจำหน่ายผลผลิต ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรขององค์กรเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชุน โดยมี เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีผู้แทนจากสหกรณ์เกษตรกรจากทั่วประเทศ วิสาหกิจชุมชน หน่วยงานส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชนร่วมงานกว่า 2,000 คนด้วย
ทั้งนี้ อนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ ชื่นชมภาคการเกษตรที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 8 ล้านครัวเรือน หรือประมาณ 25 ล้านรายว่ามีส่วนสำคัญในการช่วยสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ โดยไทยส่งออกผลผลิตเกษตรจำนวนมาก เช่น ยางพารา มันสำปะหลัง ข้าว น้ำตาล และผลไม้ อย่างไรก็ตาม เข้าใจดีถึงความท้าทายของภาคการเกษตรที่ต้องเผชิญ ทั้งการไหลออกของแรงงานหนุ่มสาว ข้อจำกัดในการรับและพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ในกระบวนการผลิต ราคาพืชผลการเกษตรในตลาดโลกที่มีความผันผวน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยแล้งและอุทกภัย รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกร
รัฐบาลจึงได้มีนโยบายทั้งโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63, โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63, โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปี 2562/63, โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2562/2563, โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี 2562/63, โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63, โครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 และอีกหลายโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินงานเพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่เกษตรกร ซึ่งทุกกระทรวงจะต้องทำงานสอดประสานกันเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน โดยเฉพาะภาคส่วนท้องถิ่นที่มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนำเสนอโครงการจากความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งให้มีการสร้างศูนย์การเรียนรู้ในชุมชน ตัวอย่างการทำระบบกักเก็บน้ำใต้ดินเพื่อมาใช้กับเกษตรแปลงเล็ก เป็นต้น
ทั้งนี้ การจัดงานเกษตรสร้างชาติและรวมพลคนเกษตรสร้างชาติวันนี้เป็นหนึ่งในตัวอย่างของการพัฒนาภาคการเกษตร เสริมสร้างเครือข่ายการพัฒนา สร้างความเข้มแข็งของภาคเกษตร โดยใช้ต้นทุนทางภูมิปัญญาและทรัพยากรที่มีในแต่ละท้องที่ผสมผสานกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ เพื่อเป็นต้นแบบการผลิตที่ยั่งยืนผ่านโครงการและกลุ่มต่างๆ เช่น เกษตรแปลงใหญ่ ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) เกษตรกรรุ่นใหม่ (Young Smart Farmer) อาสาสมัครเกษตรหมู่บ้าน (อกม.) กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน ซึ่งรัฐบาลได้ผลักดันเพื่อยกระดับเกษตรกรให้เป็นผู้ประกอบการเกษตร โดยจับมือกับภาคเอกชนเชื่อมโยงตลาดทั้งภายในและตลาดส่งออก ซึ่งต้องขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยกันสร้างการรับรู้กับประชาชนและเกษตรกรในพื้นที่ให้มากขึ้น ส่งเสริมการปลูกพืชให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ ปริมาณน้ำ และความต้องการของตลาด เพิ่มช่องทางจำหน่ายผ่านระบบออนไลน์ สร้างมูลค่ามวลรวมการเกษตรให้สูงขึ้น ปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของโลกทั้งเทคโนโลยีและสภาพอากาศที่เปลี่ยนไป ขณะเดียวกันก็ต้องติดตามประเมินผลการทำงานของเจ้าหน้าที่อยู่เสมอเพื่อปรับการทำงานให้เหมาะสม ตรงกับความต้องการของเกษตรกรด้วย
ในตอนท้าย พล.อ. ประยุทธ์ เยี่ยมชมนิทรรศการและร้านค้า เช่น นิทรรศการพอเพียงเพื่อยั่งยืน, นิทรรศการตลาดนำการผลิต, นิทรรศการพัฒนาเกษตรกรสู่ความเป็นต้นแบบ, นิทรรศการ Inno Product by Smart & Strong Community Enterprise และนิทรรศการ Landmark โดยให้ความสนใจสอบถามถึงการดำเนินงานของเครือข่าย Smart Farmer พร้อมแนะนำการนำโดรนเกษตรไปใช้ในเกษตรแปลงใหญ่และขยายไปสู่เกษตรรายย่อยให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิตให้มากขึ้น รวมถึงเผยแพร่องค์ความรู้เทคโนโลยีต่างๆ ที่มีอยู่ไปสู่เกษตรกรในพื้นที่ด้วย เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเกษตรสร้างชาติไปด้วยกันตามนโยบาย ‘รวมไทยสร้างชาติ’
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์