Q: ตอนนี้หนูเรียนอยู่มหาวิทยาลัยใจกลางเมืองในคณะที่คะแนนสูงสุดในประเทศ ฟังดูดีใช่ไหมคะ แต่หนูไม่มีความสุขเลย คะแนนที่สูงก็แลกมากับเพื่อนที่เก่งผิดมนุษย์ เวลาเรียนหนูดูโง่ไปเลยค่ะ ความสุขในการเรียนทุกวันนี้เลยติดลบ ทุกอย่างลงตัวหมดเลยยกเว้นหนู หนูชอบวิชาที่เรียนนะคะ แต่เรียนไปเรียนมาก็ไม่ได้ชอบมากขนาดนั้น ที่คิดแบบนี้เพราะเพื่อน 70% จะมีแพสชันแรงกล้าเหมือนเกิดมาเพื่อเรียนคณะนี้ มีความฝันที่จะเป็นโน่นเป็นนี่ มันเลยทำให้หนูกลับมามองตัวเองและพบว่าหนูไร้ความฝัน แห้งเหี่ยว และขี้แพ้สุดๆ ไปเลยค่ะ ของแถมที่ตามมาคือหนูกดดันตัวเองมาก อยู่กับเพื่อนในเอกก็จะเงียบมาก ไม่กล้าแสดงความเห็นเลยค่ะ กลัวดูโง่ กลัวผิด หนูอยากเลิกกดดันตัวเองจังเลยค่ะ หนูจะทำอย่างไรให้มีความสุขกลับคืนมาดีคะพี่
A: ลงท้ายคำถามของหนูทำให้เพลง คืนความสุขให้ประเทศไทย ลอยมาด้วย พี่ล่ะขนลุก ฮ่าๆ ล้อเล่นนะครับ แต่เรื่องแบบนี้ไม่ต้องถึงลุงตู่ก็ได้ เอา ‘พี่’ ท้อฟฟี่ไปก่อนแล้วกัน (อย่าเรียกลุงนะ – เคือง!)
เท่าที่อ่านเรื่องที่น้องเล่ามา พี่มองเห็นอยู่สองประเด็นที่เราน่าจะคุยกันคือ หนึ่ง การอยู่ท่ามกลางคนเก่งและรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า สอง การรู้สึกว่าตัวเองไม่มีแพสชัน ทั้งสองอย่างนำมาสู่การกดดันตัวเองและไม่มีความสุข
เอาเรื่องแรกก่อน หนูสู้ฟันฝ่ามาจนได้เป็นหนึ่งในนักศึกษาในคณะที่คะแนนสูงสุดในประเทศแล้ว น้องเอ๋ย น้องไม่ธรรมดาแล้ว ถือว่าน้องมีต้นทุนที่สะสมมาดี อย่าประเมินค่าตัวเองต่ำแบบนั้น เราต้องให้กำลังใจตัวเองเข้าไว้ ชมตัวเองหน่อย อย่าเพิ่งด่าตัวเองเยอะนัก น้องต้องให้กำลังใจตัวเองทุกวันนะครับ ชมตัวเองทุกวัน หาเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกภูมิใจในตัวเองได้อย่างน้อยหนึ่งเรื่องแล้วชมตัวเอง เรื่องเล็กเรื่องน้อยใดๆ ก็ได้ ไม่ต้องรอเรื่องใหญ่ เราจะได้มีกำลังใจก้าวต่อ วันนี้ตอนเรียนเราไม่หลับก็ชมตัวเองได้ วันนี้เราชนะตัวเองไม่ให้โดนเตียงดูดวิญญาณจนไม่อยากออกมาเรียนก็ชมตัวเองได้ วันนี้เราทำให้เพื่อนมีความสุขก็ชมตัวเองได้ วันนี้ส่งการบ้านอาจารย์ทันเวลา ทั้งที่ตอนแรกนึกว่าจะไม่รอดก็ชมตัวเองได้ ฯลฯ
หาเรื่องชมตัวเองไปทุกวันก็เหมือนเราเห็นความน่าภูมิใจในตัวเราอยู่ทุกวัน มันเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีมากนะครับเวลาที่เราต้องไปเจออะไรข้างหน้า แต่ถ้าเราหาเรื่องด่าตัวเองทุกวัน พี่ว่าใจมันฝ่อนะ มันฝังในจิตใต้สำนึกของเรา ทีนี้จะเอาพลังจากที่ไหน
บางคนบอกว่าชมตัวเองมากๆ เดี๋ยวจะเหลิง พี่คิดว่าถ้าเราชมตัวเองโดยไม่คิดต่อว่าเราจะทำให้สิ่งที่ดีอยู่แล้วมันดีขึ้น และยึดติดแต่ข้อดีของตัวเองอย่างเดียว อันนั้นแหละจะทำให้เราเหลิง
พอเราเห็นข้อดีของตัวเองแล้ว เวลาเราไปอยู่กับคนอื่นๆ เราจะไม่รู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า การเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นมันเหนื่อย น้องก็คงรู้
มีเรื่องหนึ่งอยากแชร์กับน้องครับ เป็นสิ่งที่พี่ได้เจอกับตัวเอง ทุกปีพี่จะหาเรื่องทำสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัด ลากตัวเองออกไปทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อน ปีที่แล้วคือการที่พี่เรียนทำอาหารกับเรียนมวยไทย ปกติพี่ทำอาหารอยู่บ้าง แต่ไม่เคยเรียนจริงจังเลย ปีที่แล้วลองได้เทกคอร์สเรียนทำอาหาร น้องเอ๊ย! ความรู้สึกรั้งท้ายมันเป็นแบบนี้นี่เอง! พี่อาจจะเป็นนักเขียนที่ใช้ได้ เป็นมนุษย์ออฟฟิศที่โอเค แต่พอไปอยู่หน้าเขียงหน้าเตา มีคนเก่งกว่าพี่มาก มือที่เราเคยพิมพ์งานรัวๆ คล่องๆ คิดไปเขียนไปไหลลื่น พอไปจับมีดนี่คนละเรื่อง พี่สู้คุณป้าอีกหลายคนไม่ได้เลย เขาทำอาหารกันมาทั้งชีวิตอยู่แล้ว พี่จะไปสู้อะไรเขาได้ แต่อีกนั่นแหละ พี่ไม่ได้คิดจะสู้กับป้า แต่พี่ไปเรียนเพื่อที่พี่จะได้บอกตัวเองว่าเราไม่ได้เก่งที่สุดในโลก เราไม่ได้เก่งทุกเรื่อง มีคนเก่งกว่าเราอีกมาก
พอมาเรียนมวยไทย นี่ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่พี่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะลอง เพราะพี่ไม่ชอบความรุนแรง ไม่ชอบการปะทะ แต่ด้วยความอยากรู้ว่าพอตัวเองมาทำสิ่งที่ไม่ได้เก่งบ้างจะเป็นอย่างไร ให้ต่อยพี่ยังต่อยไม่เป็นเลยน้อง (เพราะมีคนคอยปกป้องพี่ตลอด ฮ่าๆ) ครูมวยต้องสอนพี่ตั้งแต่ติดลบ แล้วรอบตัวพี่ในค่ายมวยนั้นมีแต่คนเก่งๆ อารมณ์เดียวกับเพื่อนในห้องของน้องนั่นแหละครับ เวลาพี่ต่อยเตะไปมันก็ไม่ได้ดูคมเหมือนนักมวยคนอื่นๆ เขา เหมือนหมีแพนด้าคว้ากิ่งไผ่อะไรแบบนั้น ฮ่าๆ แต่พี่ไม่รู้สึกว่าตัวเองโง่เลย พี่ยอมรับว่าพี่ไม่ได้เก่งที่สุด แต่พี่ว่าการที่พี่ซึ่งไม่เคยแม้แต่จะอยากลองเรียนมวยไทยสามารถลากตัวเองมาสู่การเรียนรู้ใหม่ๆ ได้ มาอยู่ในดินแดนที่ตัวเองไม่ได้เป็นที่หนึ่ง อาจจะเป็นนักมวยที่ไม่เก่งเอาเสียเลยด้วยซ้ำ แต่พี่ภูมิใจนะ และจากวันแรกที่ต่อยยังไม่เป็นเลย ทุกวันที่เราเรียน เราได้เห็นพัฒนาการตัวเอง ถ้าพี่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับนักมวยคนอื่น พี่คงเทียบไม่ติด อย่าแม้แต่จะคิด ฮ่าๆ แต่ถ้าพี่เปรียบเทียบกับตัวเองแล้วได้เห็นพัฒนาการ ได้เห็นตัวเองเรียนรู้ พี่ว่าพี่ชนะแล้ว
ที่เล่ามาทั้งหมด พี่อยากบอกว่ามันมีคนเก่งกว่าเราอีกมาก แต่อย่าเอาความเก่งของเขามาเหยียบย่ำตัวเราเอง แทนที่จะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ให้เราแข่งกับตัวเองดีกว่า แข่งกับความกลัวของเราเอง แข่งกับความอ่อนแอของเราเอง แข่งกับความไม่รู้ของตัวเองนี่แหละ สู้กันไปทุกวัน แพ้บ้าง ชนะบ้าง แต่อย่าเพิ่งหยุดสู้
ถ้าอยากเก่งขึ้น เราต้องอย่ากลัวที่จะยอมรับว่าเรายังไม่รู้ ไม่อย่างนั้นเราจะปล่อยให้ตัวเองไม่รู้ต่อไป ไม่เข้าใจเราก็ถาม ไม่ต้องแคร์ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร โฟกัสที่ตัวเราเอง คู่แข่งที่แท้จริงของน้องคือตัวเอง ไม่ใช่เพื่อนในห้องแล้ว
ไม่แน่ใจว่าสภาพในห้องเรียนน้องเป็นลักษณะต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างแข่งขันหรือเปล่า ถ้าบรรยากาศในห้องเรียนเหมือนอยู่ในภาวะสงครามอีก อันนี้อยู่ที่เราแล้วล่ะว่าเราเครียดตามเขาไปด้วยไหม จะลงไปแข่งกับเขาด้วยไหม
มหาวิทยาลัยเป็นสังคมเล็ก พอน้องมาทำงาน น้องจะเจอคนอีกมาก ซึ่งพี่บอกไว้ก่อนเลยว่าน้องจะเจอคนที่เก่งกว่าน้องอีกมาก มีคนเก่งกว่าเราเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด เราอย่าเพิ่งรีบประสาทเสีย พี่คิดว่าเราเรียนรู้ตั้งแต่ตอนนี้เลยก็ดีนะครับว่ามีคนเก่งกว่าเรา แต่ไม่ได้แปลว่าเราไม่เก่ง สิ่งที่น้องและเพื่อนๆ ในมหาวิทยาลัยเรียนกันอยู่ตอนนี้เป็นเพียงส่วนที่เล็กเหลือเกินเมื่อเทียบกับความรู้ทั้งโลก เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งถอดใจ ยังมีอะไรที่น้องต้องเรียนรู้อีกเยอะ
สิ่งที่อยากจะบอกน้องอีกอย่างคือชีวิตไม่ได้หยุดอยู่แค่มหาวิทยาลัย พี่เห็นเพื่อนหลายคนที่ตอนเรียนเรียนไม่เก่งเลย แต่จบมาก็ประสบความสำเร็จบนเส้นทางของเขา เพราะฉะนั้นเส้นทางของน้องยังอีกยาวไกล อย่าเพิ่งกลัวที่จะก้าวต่อไปนะครับ
ประเด็นต่อมาคือเรื่องการมีแพสชัน การมีฝันแล้วทะเยอทะยานอยากจะไปให้ถึง เราทุกคนคงรู้อยู่แล้วว่าการมีแพสชันในสิ่งที่ตัวเองรักเป็นสิ่งที่ดี ยิ่งรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรในชีวิตยิ่งดีใหญ่ เพราะชีวิตมีเป้าหมาย ที่เหลือคือทุกๆ อย่างที่จะไปถึงตรงนั้นให้ได้ แต่หลายคนก็มาถามพี่อยู่บ่อยๆ ว่าถ้าไม่มีแพสชันล่ะ จะทำอย่างไร
พี่คิดว่าไม่เป็นไรเลยถ้ายังไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร แต่ละคนคงใช้เวลาต่างกัน บางคนรู้เร็ว บางคนรู้ช้า แต่อย่างหนึ่งที่พี่จะบอกคือเป้าหมายของเรามันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดตามการเปลี่ยนแปลงของชีวิต เพราะฉะนั้นวันนี้ยังไม่รู้ไม่ได้แปลว่าชาตินี้จะไม่มีวันรู้ เช่นเดียวกัน วันนี้รู้แล้วไม่ได้ว่านี่จะเป็นคำตอบสุดท้ายในชีวิต พอเราใช้ชีวิตไป ลองผิดลองถูกไป มีบทเรียนใหม่ๆ มีสถานการณ์ที่เราต้องเผชิญหน้าเข้ามา เราก็จะค่อยๆ คลำเจอว่าเราต้องทำอะไรต่อ
ทุกการตัดสินใจ ทุกการลองผิดลองถูก ทุกสิ่งที่เราทำ มันเป็นจิ๊กซอว์ให้เราประกอบเป็นภาพใหญ่ เวลาเราดูจิ๊กซอว์ชิ้นเดียว เราไม่รู้ว่ามันเป็นรูปอะไร แต่พอเราต่อไปเรื่อยๆ มันจะกลายเป็นภาพใหญ่เองว่านี่แหละคือสิ่งที่เราจะใช้ชีวิตกับมัน ชีวิตพาเรามาทางนี้แล้ว
ไม่มีแพสชันไม่ใช่เรื่องผิด น้องก็ลุยๆ ดุ่ยๆ งมๆ งงๆ ไปเรื่อยๆ แบบนี้แหละ ไม่ต้องรีบ ที่น้องรู้สึกงงๆ กับชีวิตอยู่ตอนนี้มันก็กำลังพาน้องไปสู่บางสิ่งอยู่เหมือนกัน ถือว่ากำลังเก็บจิ๊กซอว์มาต่อภาพอยู่ วันหนึ่งข้างหน้าเมื่อมองกลับมาน้องก็จะรู้เอง
ไม่ต้องกดดันตัวเองนะ เก็บจิ๊กซอว์มาเรื่อยๆ เดี๋ยวก็รู้เองว่าจะเป็นภาพอะไร
พี่จะรอดูภาพนั้นเหมือนกันครับ
*ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์ไปที่ FB: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์
ภาพประกอบ: Nisakorn Rittapai