SCB EIC คาดเศรษฐกิจไทยปีหน้าจ่อโตแค่ 1.5% นับเป็น ‘ครั้งแรก’ ในรอบ 3 ทศวรรษที่ GDP ไทยจะโตไม่ถึง 2% (ไม่นับปีเกิดวิกฤต) จับตาการเมืองเป็นความเสี่ยงขาลง ย้ำภาวะเช่นนี้ตอกย้ำว่า ไทยต้องการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อสร้างเครื่องยนต์ใหม่ ยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจ ควบคู่กับการสร้างภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจรองรับความผันผวนที่รุนแรงขึ้น
วันนี้ (16 ธันวาคม) ดร.ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน กล่าวว่า ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2025 ลงมาเล็กน้อยจากโต 2.1% (ประมาณการ ณ พ.ย.) มาเป็น 2.0% เนื่องมาจากการบริโภคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชนที่โตต่ำกว่าคาด
สำหรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2026 SCB EIC คาดว่า จะโตแค่ 1.5% ซึ่งนับเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 ทศวรรษ (ไม่นับช่วงปีวิกฤต เช่น วิกฤตต้มยำกุ้ง วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 และการรัฐประหารปี 2557)
ดร.ยรรยง กล่าวย้ำว่า “ในทุกปีที่ผ่านมา ยกเว้นช่วงที่เกิดวิกฤต เศรษฐกิจไทยไม่ได้เริ่มต้นปีด้วยการคาดการณ์ว่าการเติบโตจะต่ำกว่า 2% ถามว่า เราเคยโตต่ำกว่า 1.5% หรือ 2% คำตอบคือ ‘เคย’ แต่ทั้งหมดคือปีที่เกิดวิกฤต”
“ผมว่า ช่วงข้างหน้าจะเป็นช่วงสำคัญของเศรษฐกิจไทยว่า ถ้าเราไม่เริ่มให้ความสำคัญกับการปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างจริงจัง เราอาจจะเห็นตัวเลขแบบนี้กลายเป็น New Normal ของเศรษฐกิจไทย ซึ่งเราไม่อยากเห็น” ดร.ยรรยง กล่าว
สำหรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2026 ที่คาดว่า จะโตแค่ 1.5% มีแรงกดดันหลักมาจากปัจจัยภายนอก ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก สงครามการค้า และการแข่งขันรุนแรงจากต่างประเทศ และจากข้อจำกัดเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยที่ชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความเปราะบางในภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่กระทบต่อกำลังซื้อและการลงทุนในประเทศ และข้อจำกัดการคลังภายใต้ความไม่แน่นอนทางการเมือง
“ไทยจึงต้องเร่งปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อสร้างเครื่องยนต์ใหม่ ยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจ ควบคู่กับการสร้างภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจรองรับความผันผวนที่รุนแรงขึ้น”

ความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็น Downside Risk เศรษฐกิจไทย
ดร.ยรรยง กล่าวต่อว่า การยุบสภาที่เร็วขึ้นกว่าไทม์ไลน์เดิม อาจจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากนัก อย่างไรก็ตาม การยุบสภาเร็วขึ้นอาจช่วยให้การประกาศใช้ พ.ร.บ. งบประมาณฯ ปี 2027 ล่าช้าน้อยลง
กระนั้น ดร.ยรรยงยังแสดงความกังวลต่อข้อจำกัดด้านการคลังของไทย ที่อาจจะมีผลต่อเศรษฐกิจมากกว่า เนื่องจากข้อจำกัดดังกล่าวกำลังทำให้งบประมาณมีแนวโน้มโตในอัตราที่ชะลอลง เหตุจากรัฐบาลต้องควบคุมดูแลหนี้สาธารณะไม่ให้สูงเกินเพดาน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อสถาบันเครดิตเรตติงและเสถียรภาพทางการคลังในระยะยาว
นอกจากนี้ ดร.ยรรยง ยังเตือนว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองอาจจะเป็นความเสี่ยงขาลง (downside risk) ได้ โดยปัจจุบัน SCB EIC มองว่า ไทยจะได้รัฐบาลใหม่หลังยุบสภาในเวลา 5 เดือน หรือจะได้รัฐบาลใหม่ในเดือนพ.ค. โดยใช้ ‘สูตร 2+2+1’ ได้แก่ เลือกตั้งภายใน 2 เดือนตามกรอบกฎหมายกำหนด, กกต.รับรองผลใน 60 วัน, จัดตั้งรัฐบาลได้นายกฯใหม่ 1 เดือน ตามไทม์ไลน์ในอดีต
อย่างไรก็ตาม ถ้าการได้รัฐบาลใหม่ยืดเยื้อออกไปก็อาจจะกระทบต่อความเชื่อมั่นการลงทุนและบริโภคได้บ้าง โดยหากยิ่งล่าช้านานก็อาจยิ่งกระทบต่อเม็ดเงินสนับสนุนเศรษฐกิจจากภาครัฐ การเจรจากับสหรัฐฯ ที่ล่าช้าทำให้เสียเปรียบมากขึ้น ไปจนถึงการเสี่ยงปรับลดเครดิตเรตติง

เปิดแนวทางการยกระดับเศรษฐกิจ ‘จำเป็นและเร่งด่วน’
ดร.ยรรยง กล่าวต่อว่า การยกระดับเศรษฐกิจจึงมีความจำเป็นและเร่งด่วน ดังนั้น นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ จึงควรเน้น 3S ได้แก่ สร้างเสถียรภาพ (Stabilize), กระตุ้น (Stimulate) และปฏิรูปเชิงโครงสร้าง (Structural reform)
พร้อมกล่าวถึงนโยบายที่พรรคการเมืองควรให้ความสำคัญว่า แม้ว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นยังคงจำเป็น แต่ควรดำเนินการอย่างระมัดระวัง และที่สำคัญยิ่งกว่าคือ มาตรการระยะยาวในการปฏิรูปเศรษฐกิจ
โดยตัวอย่างนโยบายระยะสั้น เพื่อเรียกความเชื่อมั่นและกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่ เร่งเบิกจ่ายงบลงทุน ใช้มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายแบบ Targeted Timely และ Temporary เป็นต้น
ส่วนนโยบายระยะกลาง-ยาว เพื่อวางรากฐานเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น Ease of doing business, Regulatory Guillotine, เร่งเจรจาสรุปข้อตกลงการค้า US และผลักดัน EU FTA การหาตลาดใหม่ และสนับสนุน Local supply chain การผลักดันพ.ร.บ. โลกร้อน ผลักดันอุตสาหกรรมศักยภาพแข่งขันโลกใหม่ได้ ปรับทักษะแรงงานทันกระแสโลก Job matching การปฏิรูปการคลัง เพื่อรักษาความยั่งยืนระยะปานกลาง เป็นต้น



