หลังจากที่พบกับความผิดหวังในศึกนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอคัพเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ทีม ‘สิงโตน้ำเงินคราม’ เชลซี ได้โอกาสที่จะแก้ตัวอย่างรวดเร็วในศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกกับคู่ปรับหน้าเดิมอย่าง ‘จิ้งจอก’ เลสเตอร์ ซิตี้ ทันที
โดยเกมนี้เป็นเกมสำคัญระดับสูงสุด เพราะเป็นการพบกันของ 2 ทีมที่อยู่ในเส้นทางของการลุ้นชิงอันดับพื้นที่ท็อป 4 เหมือนกัน หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพลาด อาจหมายถึงการหลุดวงโคจรได้ เพราะยังมี ‘มือที่ 3’ อย่างลิเวอร์พูล ที่มีความหวังสูงเช่นกัน หากพวกเขาเก็บชัยชนะในอีก 2 นัดที่เหลือได้หมด
ไม่มีใครที่อยากเป็นผู้แพ้ แต่ดูเหมือนเชลซีจะแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นทีมที่กระหายชัยชนะมากกว่า
ก่อนหน้าจะลงสนามเกมนี้ ทีมภายใต้การนำของ โธมัส ทูเคิล นายใหญ่ชาวเยอรมัน แพ้ติดต่อกันมา 2 นัดในเกมลีกกับอาร์เซนอล ก่อนจะมาแพ้ในนัดชิงเอฟเอคัพ ซึ่งในประวัติศาสตร์ของสโมสรในยุคของ โรมัน อบราโมวิช นับตั้งแต่เขาเข้ามาเทกโอเวอร์สโมสรไม่เคยแพ้ติดต่อกัน 3 นัดมาก่อน
ความมุ่งมั่นที่จะแก้ตัวจากผลงานที่น่าผิดหวัง เมื่อรวมกับเสียงปลุกเร้าจากเหล่ากองเชียร์ที่ได้โอกาสหวนกลับคืนสู่สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ หรือเดอะ บริดจ์ บ้านที่พวกเขาแสนคิดถึง เป็นครั้งแรกในรอบ 14 เดือนแล้ว ทำให้นักเตะเจ้าถิ่นในชุดสีน้ำเงินฮึกเหิมอย่างยิ่ง
สิ่งที่เราได้เห็นในสนามคือการพยายามเดินหน้าล่าประตูอย่างเต็มกำลังของเชลซี ซึ่งเล่นฟุตบอลเกมรุกได้อย่างดุดัน แม่นยำ มีความหลากหลาย และเต็มไปด้วยความอันตรายที่ดูพร้อมจะฉีกแนวรับของเลสเตอร์ออกเป็นชิ้นๆ
หนึ่งในคนที่พยายามอย่างมากคือ ติโม แวร์เนอร์ กองหน้าทีมชาติเยอรมนี ที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากผลงานในเกมนัดชิงเอฟเอคัพ ถึงขั้นมีผู้รู้ในวงการอย่าง ไนออลล์ ควินน์ อดีตศูนย์หน้าทีมชาติไอร์แลนด์ที่เคยรับใช้เชลซีเหมือนกัน นิยามเขาว่า “กองหน้าที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร” (ต่อจากตัวเขาเอง)
การตัดสินใจส่งแวร์เนอร์ลงเล่นต่อเนื่องเป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนของทูเคิลว่า เขายังไว้ใจและพร้อมให้โอกาส ซึ่งการตอบแทนความไว้ใจดังกล่าวคือการเล่นอย่างเต็มที่ อดีตกองหน้าแอร์เบ ไลป์ซิก ไม่ดูเซื่องซึมเหมือนหลายนัดที่ผ่านมา
อย่างน้อยมี 2 ครั้งที่เขาสามารถส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายได้ แม้ว่าจะถูกจับเป็นลูกล้ำหน้าและลูกแฮนด์บอลโดย VAR อย่างละครั้งก็ตาม แต่ในจังหวะที่บอลกระทบตาข่าย การระเบิดความรู้สึกออกมาผ่านการฉลองประตูของเขา เสียงเฮจากแฟนบอลในสนาม และแม้แต่ตัวของทูเคิลเองที่ดีใจเต็มที่ไม่มีเก็บอาการ พอจะบ่งบอกได้ว่าแวร์เนอร์ยังมีความสำคัญกับทีม
เช่นเดียวกับ เมสัน เมาท์ ที่ยังรักษามาตรฐานการเล่นที่ยอดเยี่ยม การสร้างสรรค์โอกาสที่น่าเหลือเชื่อในหลายครั้ง เช่น จังหวะการแตะลอดขา ชากลาร์ โซยุนซู ที่ริมเส้นฝั่งขวาที่เรียกเสียงครางฮือได้ทั้งสนาม หรือจังหวะการเปิดบอลได้เสียที่ได้ลุ้นตลอด
ความจริงนักเตะเชลซีก็เล่นด้วยความร้อนแรงทุกคน เพียงแต่ด้วยเกมรับอันแข็งแกร่งของเลสเตอร์ ซึ่งต้องชื่นชม เวสลีย์ โฟฟานา ปราการหลังดาวรุ่งวัย 20 ปีเป็นพิเศษ ในฐานะคนที่กลายเป็น ‘ที่พึ่ง’ ของทีมเป็นพิเศษ รวมถึงนักเตะในเกมรับทุกคนด้วยที่ทำให้ทีมรอดพ้น 45 นาทีแรกมาได้แบบไม่เสียประตู
แต่เมื่อเข้าสู่ครึ่งหลังได้นาทีเดียว ทำนบของเลสเตอร์ก็แตกจากจังหวะลูกเตะมุมเมื่อบอลสะกิดโดนตัว อันโตนิโอ รูดิเกอร์ เปลี่ยนทางเข้าไปในจังหวะสุดท้าย ก่อนที่พวกเขาจะมาได้จุดโทษจากการจังหวะที่โฟฟานาพลาดเสียท่าทำฟาวล์แวร์เนอร์ และเป็น จอร์จินโญ ที่ยิงเข้าไปในนาทีที่ 66
แชมป์เอฟเอคัพอาจจะโต้กลับได้ในอีก 10 นาทีต่อมาจาก เคเลชี อิเฮียนาโช ซึ่งวันนี้ต้องลงสนามในฐานะตัวสำรอง แต่สุดท้ายเชลซีรักษาสกอร์เอาไว้ได้ คว้า 3 คะแนนในเกมนี้ ทำให้แซงขึ้นเป็นทีมอันดับ 3 แทนที่เลสเตอร์สำเร็จ
“นี่เป็นฟอร์มที่ยอดเยี่ยมแของเราที่ถือว่าคู่ควรกับชัยชนะ” ทูเคิลกล่าวชมลูกทีม “แต่เราไม่มีเวลาที่จะมาฉลอง งานของเรายังไม่เสร็จสิ้น เรายังเหลืออีก 2 เกมให้เล่น การได้เล่นต่อหน้าแฟนๆ เป็นสิ่งที่ดีและเป็นความแตกต่างที่สำคัญมากในวันนี้”
ทูเคิลพูดถูก เพราะถึงเชลซีชนะในเกมนี้ได้ก็ไม่ได้แปลว่า ‘งานจบ’
สถานการณ์การลุ้นไป UCL นัดสุดท้าย
ผลการแข่งขันในเกมนี้ได้นำไปสู่สถานการณ์ที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง โดยเฉพาะหากลิเวอร์พูลไม่พลาด สามารถเก็บ 3 คะแนนในเกมไปเยือนเบิร์นลีย์ในคืนนี้ได้ พวกเขาจะแซงหน้าเลสเตอร์ขึ้นไปเป็นทีมอันดับที่ 4 เนื่องจากมีผลต่างประตูได้เสียที่ดีกว่า (มี 66 คะแนนเท่ากัน)
หรือต่อให้ลิเวอร์พูลเก็บได้ 1 คะแนนจากเทิร์ฟ มัวร์ พวกเขาก็จะตามหลัง 3 คะแนน โดยที่จะได้กลับมาเล่นในบ้านนัดสุดท้าย ส่วนเลสเตอร์จะเล่นในบ้านเช่นกัน แต่ต้องพบกับคู่แข่งที่ลุ้นทำอันดับไปยุโรปอย่างท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ในเกมที่อาจเป็นนัดสุดท้ายของ แฮร์รี เคน
เราอาจจะได้เห็นซีนาริโอในการตัดสินด้วยประตูได้เสีย ซึ่งเลสเตอร์เสียเปรียบ และพวกเขามีโอกาสที่จะอดไปแชมเปียนส์ลีกในนัดสุดท้ายเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน
โดยในปีกลายในช่วงก่อนล็อกดาวน์ เลสเตอร์เคยมีคะแนนนำห่างแบบสบายๆ และต้องการชนะอีกเพียงแค่เกมเดียวจาก 9 นัดที่เหลือ แต่สุดท้ายก็พลาดเรื่อยมาจนถึงเกมสุดท้ายของฤดูกาลที่โดนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บุกมาคว้าชัยชนะและแย่งท็อป 4 ไป
ในฤดูกาลนี้พวกเขาก็อยู่ในสถานการณ์ใกล้เคียงกัน โดยเคยทิ้งห่างอันดับ 5-8 คะแนน (และเคยทิ้งห่างลิเวอร์พูลถึง 13 คะแนน แม้ว่าตอนนั้นแชมป์เก่าจะมีเกมในมืออีก 1 นัดก็ตาม)
เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เองก็พูดในทำนองปลอบใจทีมว่า “เราพูดกันมาตลอดว่านักเตะของเรามีฤดูกาลที่ยอดเยี่ยม แต่มันก็ต้องดูกันหลังจบ 38 นัด
“เราต้องคว้าแต้มให้ได้ก่อนในวันอาทิตย์ เพื่อดูว่าเราจะอยู่จุดไหน ถ้าเราไม่ได้ไปแชมเปียนส์ลีก มันก็ยังคงเป็นฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมอยู่ดี”
สำหรับเชลซี พวกเขายังจำเป็นต้องเก็บชัยชนะในเกมกับแอสตัน วิลลา ให้ได้ก่อน และโอกาสที่อันดับจะไหลไปอยู่ที่ 5 ก็ยังมี หากเกิดพลาดท่าพ่ายหรือเสมอขึ้นมาในเกมสุดท้าย และเลสเตอร์กับลิเวอร์พูลชนะทุกนัดที่เหลือ
ในกรณีนั้นทางเดียวที่เชลซีจะได้ไปแชมเปียนส์ลีกฤดูกาลหน้าคือต้องเอาชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าถ้วยแชมเปียนส์ลีกของฤดูกาลนี้มาครองให้ได้
อย่างไรก็ดี สถานการณ์จะอีรุงตุงนังหรือไม่ขึ้นอยู่กับลิเวอร์พูลในเกมที่เทิร์ฟ มัวร์ คืนนี้
ถ้า ‘หงส์แดง’ มีแต้มกลับมา โดยเฉพาะ 3 แต้ม สนุกแน่นอน!
ภาพประกอบ: กริน วสุรัฐกร
อ้างอิง: