100 วัน! คือระยะเวลาที่ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกหายหน้าหายตาไปจากชีวิตของแฟนฟุตบอลหลายล้านคนทั่วโลกจากผลกระทบของไวรัสตัวร้ายโควิด-19 ท่ามกลางความกังวลมากมายตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา
แต่วันนี้พรีเมียร์ลีกกำลังจะกลับมาแล้ว! แม้ว่าจะเป็นการกลับมาที่แตกต่างจากเดิมก็ตาม
อย่างที่หลายๆ คนทราบว่าพรีเมียร์ลีกกลับมารอบนี้เป็นการกลับมาในแบบ New Normal มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงและเพิ่มเติมจากเดิม ซึ่งโดยหลักการแล้วก็เพื่อความปลอดภัยของทุกคน
ดังนั้น จึงไม่มีแฟนฟุตบอลในสนาม (แต่บางสนามจะมี Fan Wall ฉายภาพแฟนขึ้นจอให้นักฟุตบอลได้ชื่นใจ ส่วนในการถ่ายทอดสดจะใช้เสียงเชียร์ที่มาจากค่ายเกม EA Sports) นักฟุตบอลเองไม่สามารถทำหลายสิ่งหลายอย่างที่เคยทำได้ ไล่ไปตั้งแต่การจับมือกัน ไปจนถึงการฉลองประตูร่วมกัน
มันอาจจะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง แต่อย่างคำโบราณว่าไว้ The Show Must Go On ดังนั้น The Greatest Show on Earth อย่างพรีเมียร์ลีกก็ต้องทั้ง Go on และ Move on เช่นกัน
เพราะสิ่งที่ต้องจับตามองและได้ลุ้นตามกันอีกไม่น้อยในช่วงเวลาอีก 40 วันนับจากนี้ก่อนที่ฤดูกาลจะปิดฉากลงในวันที่ 26 กรกฎาคม
มีอะไรบ้าง มาติดตามกันเลย
ลิเวอร์พูลนอกจากแชมป์ยังเหลืออะไรให้ลุ้นอีกบ้าง (แล้วจะชูถ้วยแชมป์เมื่อไร อย่างไร)
ก่อนหน้าโควิด-19 จะรุกราน ลิเวอร์พูลต้องการอีกแค่ 6 คะแนนเท่านั้นจาก 9 นัดที่เหลือเพื่อการเป็นแชมป์ลีก ซึ่งจะเป็นแชมป์ครั้งแรกในรอบ 30 ปี และเป็นแชมป์แรกในยุคสมัยพรีเมียร์ลีก
การกลับมาแข่งในรอบนี้ลิเวอร์พูลก็ยังต้องการอีก 6 คะแนนเท่าเดิม (ก็แน่ล่ะสิ!) ซึ่งถ้าตามโปรแกรมการแข่งขัน 3 นัดแรกที่มีการเปิดเผยออกมาก่อนก็มีโอกาสที่ทุกอย่างจะจบภายใน 3 นัดนี้
เอฟเวอร์ตัน (เยือน) – 21 มิถุนายน
คริสตัล พาเลซ (เหย้า) – 27 มิถุนายน
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (เยือน) – 3 กรกฎาคม
แต่ไม่ว่าจะจบเมื่อใดก็ตาม สิ่งที่แฟนลิเวอร์พูลหลายคนอยากรู้คือจะมีการจัดพิธีมอบถ้วยรางวัลอย่างไร เมื่อไร
เรื่องนี้ยังไม่มีความชัดเจนออกมา มีเพียงแค่การออกมาพูดจากพรีเมียร์ลีกว่า จะพยายามทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้ลิเวอร์พูลได้รับถ้วยแชมป์อย่างสมศักดิ์ศรี ซึ่งก็ต้องเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป
ส่วนการฉลองใหญ่นั้นทางด้านเจอร์เกน คล็อปป์ นายใหญ่ของทีมยอมรับว่าแอบเสียใจที่จะไม่ได้ฉลองกันแบบสวยงามเหมือนที่ฝัน แต่ยืนยันว่าเมื่อใดที่ทุกคนปลอดภัยพอที่จะสามารถออกมาฉลองร่วมกันได้ การฉลองใหญ่จะเกิดขึ้นแน่นอน และมันจะพิเศษแน่นอน ซึ่งหวังว่าจะทำได้ในฤดูกาลหน้า
“ถ้ามันจะเกิดขึ้นในเกมที่ 12 หรือ 13 ของฤดูกาลหน้า และเรายังอยากจะฉลองกันอยู่ใครจะมาขวาง ตอนนั้นเรายังเป็นเจ้าของถ้วยอยู่ และเราก็สามารถจะนั่งรถเล่นไปรอบเมือง ยืนบนรถบัส ถ้าคนอื่นจะคิดว่าเราบ้าไปแล้ว ผมก็ไม่สนหรอก” คล็อปป์กล่าวไว้
แล้วนอกจากนี้ยังมีอะไรอีกไหมที่ลิเวอร์พูลจะทำได้ในฤดูกาลนี้
เหล่านี้คือสถิติที่ลิเวอร์พูลอาจจะทำลายได้!
- ชนะในบ้านมากที่สุดในฤดูกาลเดียว (สถิติเดิมเป็นของเชลซี, แมนฯ ยูไนเต็ด, แมนฯ ซิตี้ ที่ชนะ 18 นัดในบ้าน ลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้ชนะไปแล้ว 15 นัด และอาจเป็นทีมแรกที่ชนะในบ้านครบทั้ง 19 นัด)
- ชนะมากที่สุดในฤดูกาลเดียว (สถิติเดิมเป็นของแมนฯ ซิตี้ ที่ชนะ 32 นัดในฤดูกาล 2017-18 และ 2018-19 ตอนนี้ลิเวอร์พูลชนะไป 25 นัด)
- ชนะเกมเยือนมากที่สุดในฤดูกาลเดียว (สถิติเดิมเป็นของแมนฯ ซิตี้ ที่ชนะ 16 นัดในฤดูกาล 2017-18 ตอนนี้ลิเวอร์พูลชนะ 12 จาก 14 นัด)
- เก็บแต้มมากที่สุดในฤดูกาลเดียว (แมนฯ ซิตี้ เป็นเจ้าของสถิติ 100 แต้ม ตอนนี้ลิเวอร์พูลต้องการอีก 19 แต้มจาก 27 แต้มที่เหลือเพื่อทำลายสถิติ)
- คว้าแชมป์เร็วที่สุด (สถิติเดิมเป็นของแมนฯ ยูไนเต็ด และแมนฯ ซิตี้ ที่คว้าแชมป์ได้ก่อนจบฤดูกาล 5 นัด ลิเวอร์พูลมีโอกาสจะเป็นสโมสรแรกที่คว้าแชมป์ได้เร็วกว่านั้น)
- ทิ้งห่างมากที่สุด (แมนฯ ซิตี้ เป็นเจ้าของแชมป์ทิ้งห่างที่สุด 19 คะแนนในฤดูกาล 2017-18)
ที่น่าสนใจคือคล็อปป์บอกแล้วว่าพวกเขาจะเก็บแต้มให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้!
ปอล ป็อกบา พร้อมกลับมาลงช่วยทีมอีกครั้ง
ตั๋วไป UCL มี 3 ใบ แต่คนอยากได้ 7 คน!
จากคะแนนที่นำโด่งรองจ่าฝูงถึง 25 แต้มของลิเวอร์พูล เราพอจะอนุมานได้ว่าตั๋วไปยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกจะเหลืออีกเพียงแค่ 3 ใบเท่านั้น
ปัญหาคือมีทีมที่อยากได้ตั๋วมากถึง 7 ทีม!
7 ทีมนี้ไม่ได้นับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่กำลังอยู่ในระหว่างการต่อสู้คดีที่ถูกยูฟ่าตัดสินว่ากระทำผิดกฎ Financial Fair Play และถูกห้ามลงแแข่งขันในรายการถ้วยใบใหญ่ที่สุดของศึกสโมสรยุโรปเป็นเวลา 2 ปี ซึ่งคาดว่าผลการตัดสินคดีน่าจะออกมาภายในเดือนนี้
ตีไว้ว่าต่อให้ซิตี้ (57 คะแนน) ชนะการอุทธรณ์โทษอาจจะยังคงอยู่แต่ลดเหลือแค่ปีเดียว ดังนั้นโควตาในการไปแชมเปียนส์ลีก ถ้าตามตารางคะแนนเวลานี้จะขยับไปอยู่ในอันดับ 3-5 ซึ่งได้แก่
- เลสเตอร์ ซิตี้ (53 คะแนน)
- เชลซี (48 คะแนน)
- แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (45 คะแนน)
เพียงแต่ยังมีอีก 4 ทีมที่ตามหลังมาไม่ไกลจนเกินไป ที่แอบหวังจะได้ตั๋วใบนี้ด้วยเช่นกันคือ
- วูล์ฟส์ (43 คะแนน ประตูได้เสีย +7)
- เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด (43 คะแนน ประตูได้เสีย +5)
- ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ (41 คะแนน)
- อาร์เซนอล (40 คะแนน มีเกมในมือ 1 นัด)
สถานการณ์ประมาณนี้ หากเป็นในยามปกติสิ่งที่จะมีการประเมินคือเรื่องของฟอร์มการเล่นที่ผ่านมา ขุมกำลังที่เหลือว่าแต่ละทีมยังมีขุนพลที่พร้อมทำการลงสนามมากน้อยแค่ไหน แต่จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้ต้องพักการแข่งนานถึง 3 เดือนทำให้องค์ประกอบเหล่านี้ไม่สามารถใช้เกณฑ์วัดตามเดิมได้
เรื่องฟอร์มการเล่นเป็นสิ่งที่ต้องติดตามกันในสนามว่า สภาพความฟิต รวมถึงสนิมที่เกาะจะแน่นขนาดไหน ขณะที่เรื่องของตัวผู้เล่นเองก็มีการเปลี่ยนแปลงไม่น้อยเช่นกัน นักเตะที่บาดเจ็บหายหน้าไปนานหลายๆ คนทยอยกลับมาจนหมด
มีคนที่ถูกจับตามองมากเป็นพิเศษ อาทิ ปอล ป็อกบา ของแมนฯ ยูไนเต็ด, แฮร์รี เคน, ซนฮึงมิน, สตีเวน เบิร์กไวน์ ของสเปอร์ส ที่มีโอกาสจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้
มีข่าวอื้อฉาวช่วงล็อกดาวน์ แต่แจ็ค กรีลิช คือความหวังสูงสุดของแอสตัน วิลลา
Survival ฉันต้องรอดฉบับ Post-COVID
นอกเหนือจากกลุ่มครึ่งบนของตารางที่ยังลุ้นกันสนุกแล้ว ในโซนครึ่งล่างของตารางเองก็ยังต้องลุ้นกันเหนื่อยไม่แพ้กัน โดยเฉพาะในกลุ่มลุ้นหนีการตกชั้นซึ่งประเมินแล้วแม้กระทั่งไบรท์ตันในอันดับที่ 15 เองก็ยังไม่สามารถเรียกได้ว่าปลอดภัย
โดยสถานการณ์ในเวลานี้คือ
- ไบรท์ตัน (29 คะแนน)
- เวสต์แฮม (27 คะแนน ประตูได้เสีย -15)
- วัตฟอร์ด (27 คะแนน ประตูได้เสีย -17)
- บอร์นมัธ (27 คะแนน ประตูได้เสีย -18)
- แอสตัน วิลลา (25 คะแนน ประตูได้เสีย -22 มีเกมในมือ 1 นัด)
- นอริช ซิตี้ (21 คะแนน)
แน่นอนว่าทีมที่เหนื่อยที่สุดคือนอริช ซิตี้ ทีมบ๊วยที่มี 21 คะแนนจากการเล่น 29 นัด ซึ่งจากฟอร์มการเล่นและขุมกำลังแล้ว พวกเขาเหมือนเทียนที่ใกล้จะดับแสง
เพียงแต่ด้วยจำนวนเกมอีก 9 นัด การที่พวกเขาอยู่ห่างจากอันดับปลอดภัยแค่ 7 คะแนน ก็ยังพอบอกว่ามีความหวังอยู่ เพราะการพักการแข่งไป 3 เดือนทำให้ไม่สามารถที่จะเอาอะไรที่เกิดขึ้นในช่วง 3 เดือนที่แล้วกลับมาประเมินได้เลย
วัตฟอร์ด, บอร์นมัธ และแอสตัน วิลลา ทีมที่อยู่อันดับ 17-19 เองก็ประมาทไม่ได้ในสถานการณ์นี้ เพียงแต่ด้วยประสบการณ์จากการเล่นพรีเมียร์ลีกมาหลายปี ทำให้วัตฟอร์ดและบอร์นมัธอาจจะได้เปรียบวิลลาอยู่เล็กน้อย
ทีมที่ปาดเหงื่อไปด้วยกันคือเวสต์แฮม ยูไนเต็ด และไบรท์ตัน ซึ่งสถานการณ์ไม่สู้ดีนักฟอร์มการเล่นก่อนโควิด-19 จะมาเยือนโลกถือว่าน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะไบรท์ตันที่ยังไม่ชนะใครเลยนับตั้งแต่เข้าปี 2020 เป็นต้นมา ถ้ายังทรงนี้ต่อไปลำบากแน่นอน
อย่างไรก็ดี ด้วยวิกฤตโควิด-19 ที่หนักหนาสาหัสสำหรับทุกทีมอยู่แล้ว การต้องตกชั้นลงไปอยู่แชมเปียนชิปถือเป็นยิ่งกว่าฝันร้าย เพราะรายได้นับร้อยล้านปอนด์ที่ได้จากค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดจะหายไปด้วย (ไม่นับเรื่องรายได้จากบัตรผ่านประตู และการจำหน่ายสินค้า ไปจนถึงสปอนเซอร์ของทีม) เดิมพันนี้อาจหมายถึงความเป็นความตาย
ไม่มีใครอยากตาย ทุกคนอยากรอด และมันจะทำให้การลุ้นหนีตกชั้นในปีนี้เดือดไม่แพ้กลุ่มบนของตาราง
ดีไม่ดีจะมันกว่าด้วยซ้ำไป!
มีอะไรที่น่าสนใจอีก
หนึ่งในเรื่อง New Normal ของเกมพรีเมียร์ลีกที่เกิดขึ้น (แบบเฉพาะกิจ) คือการเปลี่ยนแปลงตัวสำรองได้ 5 คน ตรงนี้น่าสนใจว่าแต่ละทีมจะวางแผนอย่างไรเพื่อประคับประคองทีมให้แข่งได้ครบจบทุกนัดแบบไม่ช้ำเลือดช้ำหนอง ถึงแม้จะมีการมองกันว่ากฎนี้เป็นประโยชน์เฉพาะทีมใหญ่ที่มีขุมกำลังกันมากก็ตาม
โควิด-19 ยังทำให้หลายสโมสรประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก ทำให้ไม่มีงบที่จะซื้อผู้เล่นเข้ามาเสริมทีมได้ตามปกติ ดังนั้นจะเป็นโอกาสที่จะได้เห็นนักฟุตบอลที่เคยถูกลืมหลายๆ คนที่จะได้โอกาสในการกลับมาลงสนามพิสูจน์ตัวเองในช่วงนี้
รวมถึงบรรดาดาวรุ่งที่ขัดสตั๊ดรอโอกาสจะได้รับการเรียกตัวจากผู้จัดการทีม ซึ่งเชื่อว่าเราจะได้เห็นนักเตะดาวรุ่งหลายๆ คนที่น่าจับตามองในช่วงนี้ และน่าจะมีคนที่แจ้งเกิดได้สำเร็จอย่างแน่นอน ตรงนี้ใครเชียร์ทีมไหนก็ฝากใจเชียร์เด็กทีมตัวเองด้วย
ถ้าเด็กดีบางทีทีมอาจจะไม่จำเป็นต้องซื้อตัวใหม่ก็ได้
คุณภาพของเกมการแข่งขันเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เนื่องจากพรีเมียร์ลีกมีเวลาเตรียมตัวน้อยกว่าบุนเดสลีกา ที่เริ่มซ้อมกันตั้งแต่เดือนเมษายนก่อนจะกลับมาแข่งในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ทำให้มีเวลาเตรียมตัวราว 5-6 สัปดาห์ ขณะที่พรีเมียร์ลีกกว่าจะกลับมาซ้อมได้ก็ใกล้เข้าปลายเดือนพฤษภาคม กว่าจะกลับมาซ้อมเต็มรูปแบบก็เกือบเข้าเดือนมิถุนายน มีเวลาในการเตรียมตัวน้อยกว่ามากแค่ราว 3 สัปดาห์เศษ
น่าสนใจว่าลูกหนังอังกฤษจะยังคงบู๊กันเดือดเหมือนเดิมหรือไม่ หรือแต่ละทีมจะมีวิธีในการบริหารพละกำลังอย่างไรเพื่อประคองตัวให้จบฤดูกาล
ปัจจัยความได้เปรียบของเกมในบ้านก็สำคัญ เพราะสิ่งที่มีการพูดถึงกันเยอะก่อนหน้านี้ คือการเตะสนามเป็นกลางจะทำให้เสียปัจจัยความได้เปรียบไป แต่ความเป็นจริงที่ได้เห็นคือ เมื่อไม่มีแฟนบอลแล้วการเตะในบ้านก็แทบไม่ต่างอะไรจากการเตะในสนามซ้อม
แต่ละทีมจะหาวิธีอย่างไรให้นักฟุตบอลเล่นได้ดีเหมือนเวลามีแฟนบอล ตรงนี้น่าสนใจ
สุดท้ายที่ต้องลุ้นและเอาใจช่วยอย่างหนักคือพรีเมียร์ลีกจะเอาตัวรอดได้ตลอดรอดฝั่งจนจบฤดูกาลหรือไม่ เพราะโควิด-19 ยังไม่จบ และจากที่เริ่มเห็นในจีนและญี่ปุ่นคือการกลับมาระบาดใหม่เมื่อมีการผ่อนปรนมาตรการ
หากสถานการณ์การระบาดในอังกฤษกลับไปรุนแรงเหมือนช่วงก่อนหน้านี้อีก พรีเมียร์ลีกอาจจะถูกตัดจบ ซึ่งต้องรอติดตามว่าจะใช้เกณฑ์ในการตัดสินอย่างไร จะการเป็นการคิดคะแนนเฉลี่ยต่อนัดหรือจะอย่างไรก็ต้องรอติดตามกัน
แต่นั่นเป็นเรื่องของอนาคต เรื่องของปัจจุบันคือตอนนี้ฟุตบอลกลับมาแล้ว พรีเมียร์ลีกกำลังจะกลับมาแล้ว หลังจากที่เฝ้าอดทนรอมาเกือบ 3 เดือน และเคยมีช่วงเวลาที่ไม่รู้ว่าจะกลับมาแข่งได้ไหม
แค่นี้ก็เรียกว่าโคตรดี (ต่อใจ) แล้ว! 🙂
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง:
- www.skysports.com/football/story-telling/11661/12008017/premier-league-restart-essential-reading
- www.skysports.com/football/news/11661/12004657/premier-league-every-club-assessed-ahead-of-restart
- www.premierleague.com/news/1561869
- www.bbc.com/sport/football/53009593
- ใน 12 เกมแรกที่พรีเมียร์ลีกกลับมาทำการแข่งขัน (แมตช์ตกค้างวันพุธนี้ 2 นัด และ 10 นัดช่วงสุดสัปดาห์) หลังเสื้อของนักฟุตบอลทุกคนจะไม่มีการพิมพ์ชื่อ แต่จะพิมพ์ข้อความว่า Black Lives Matter เพื่อร่วมรณรงค์ต่อต้านการเหยียดสีผิว
- นอกจากนี้จะมีการปักตราสัญลักษณ์ Black Lives Matter รวมถึงข้อความขอบคุณ NHS ที่ต่อสู้กับโควิด-19 อย่างหนักหน่วงตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
- ความล่าช้าจากการที่ต้องพักการแข่งขันหลายเดือน ทำให้พรีเมียร์ลีกต้องจ่ายเงินคืนเจ้าของลิขสิทธิ์จำนวน 330 ล้านปอนด์ โดยล่าสุดการเจรจาเรื่องนี้ใกล้หาข้อสรุปได้แล้ว
- จะมีนักฟุตบอลจำนวนหนึ่งที่หมดสัญญากับต้นสังกัดในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ ไม่ว่าจะสัญญาส่วนตัวหรือสัญญายืมตัว ซึ่งจะมีบางคนได้รับการต่อสัญญาออกไป เช่น อดัม ลัลลานา, ดีน เฮนเดอร์สัน แต่ก็มีคนที่ไม่ได้รับการต่อสัญญาเช่นกัน
- ด้วยความที่ยังห้ามไปร้านทำผม ดังนั้นทรงผมของนักฟุตบอลในช่วงนี้หลายๆ คนก็อาจจะดูประหลาดๆ หน่อย