×

พรีเมียร์ลีก 2018-19 ปีสุดท้ายของการบอกลาหน้าจอทีวีสู่ยุคดูฟุตบอลบนสตรีมมิงแบบเต็มตัว

08.08.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

8 Mins. Read
  • Facebook คว้าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก 3 ฤดูกาลตั้งแต่ปี 2019-2022 ภายในภูมิภาคอาเซียนด้วยเม็ดเงิน 200 ล้านปอนด์
  • การตัดสินใจซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกเป็นสัญลักษณ์ของการบุกตลาดกีฬาที่ได้รับความนิยมสูงสุดในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงจากการถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์สู่ระบบออนไลน์แบบเต็มตัว
  • NFL ลีกอเมริกันฟุตบอล กีฬาอันดับหนึ่งของสหรัฐฯ มีประสบการณ์การให้บริการถ่ายทอดสดผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยระบบ NFL Game Pass ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตรงกันข้ามกับยอดผู้ติดตามชมการถ่ายทอดพรีเมียร์ลีกผ่านทางโทรทัศน์ของ BT Sport และ Sky Sports ที่ลดลงพร้อมกับจำนวนเงินในการประมูลลิขสิทธิ์ภายในประเทศฤดูกาลที่ผ่านมา

“เชื่อไหมว่าอีกหน่อยเราจะดูฟุตบอลผ่านทวิตเตอร์ และจะมีไลฟ์ฟีดของคนที่รีทวีต พร้อมกับข้อความและสถิติต่างๆ อยู่ข้างๆ การถ่ายทอดสด การรับชมฟุตบอลของเราจะเปลี่ยนไปอีกเยอะในเร็วๆ นี้ด้วย”

 

เป็นหนึ่งในประโยคที่จำได้อย่างแม่นยำจากการเดินทางไปรายงานข่าวการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย จากบทสนทนากับผู้สื่อข่าวกีฬาจากทั่วโลกที่มีความเชื่อตรงกันว่าอนาคตของการถ่ายทอดสดกีฬาคือระบบการสตรีมมิงผ่านอินเทอร์เน็ตสู่โทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ แต่อนาคตที่ว่านั้นอยู่ห่างไกลอีกเพียงแค่หนึ่งฤดูกาลของฟุตบอลเท่านั้น

 

เพราะในระหว่างที่ฟุตบอลโลกกำลังขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือด การแข่งขันชิงสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในภูมิภาคอาเซียนก็ได้ผู้ชนะหน้าใหม่อย่างเป็นทางการที่สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ววงการสื่อทั่วโลกอย่าง Facebook

 

ด้วยประสบการณ์ของ ปีเตอร์ ฮัตตัน ซีอีโอของ Eurosport ที่มารับงานเป็นหัวหน้าฝ่ายซื้อขายลิขสิทธิ์กีฬาให้กับ Facebook และเงินจำนวน 200 ล้านปอนด์ พวกเขาก็คว้าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในประเทศไทยและเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ลาว และกัมพูชา 3 ฤดูกาลตั้งแต่ 2019-2022 มาครอง เอาชนะคู่แข่งที่ครองตำแหน่งนี้มาก่อนอย่าง BeIN Sports สื่อกีฬาจากกาตาร์

 

 

ทำไมต้องภูมิภาคอาเซียน

หากจะถามว่าภูมิภาคที่เราอยู่นั้นมีดีกว่าประเทศที่มีผู้ใช้งานอันดับต้นๆ ของโลกอย่างอินเดีย หรือประเทศบ้านเกิดของ Facebook อย่างสหรัฐอเมริกาอย่างไร ต้องตอบก่อนว่าประเทศในภูมิภาคนี้ไม่ว่าจะไทย เวียดนาม หรืออินโดนีเซีย ฟุตบอลถือเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่งเช่นเดียวกัน

 

นอกจากนี้ทาง GlobalWebIndex บริษัทวิจัยข้อมูลทางการตลาดผ่านพฤติกรรมของลูกค้า เผยว่าการตัดสินใจของ Facebook ในการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในภูมิภาคนี้เป็นการตัดสินใจที่ฉลาด เนื่องจากยอดผู้เข้าชมการแข่งขันกีฬาผ่านโซเชียลมีเดียกำลังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

 

โดยจากการสำรวจของ GlobalWebIndex ผ่านกลุ่มลูกค้าผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตช่วงอายุระหว่าง 16-64 ปี เมื่อไตรมาสที่ 4 ปี 2016 จนถึงไตรมาสที่ 1 ปี 2018 พบว่ายอดผู้ชมและติดตามกีฬาผ่านโซเชียลมีเดียของไทยและเวียดนามเติบโตขึ้น 25% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

 

 

เช่นเดียวกันกับตัวเลขของผู้ที่เลือกติดตามชมการแข่งขันฟุตบอลผ่านระบบสตรีมมิงหรือออนไลน์ที่มีถึง 1 ใน 3 หรือประมาณ 35% ของผลสำรวจผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตช่วงอายุระหว่าง 16-64 ปี จากไตรมาสที่ 4 ปี 2017 ถึงไตรมาสที่ 1 ปี 2018 ขณะที่ผู้ติดตามชมผ่านทีวีอยู่ที่ 47%

 

ขาลงของลิขสิทธิ์บรอดแคสติ้ง จุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้  

 

 

เหมือนกับการแข่งขันฟุตบอลเกือบทุกลีกทั่วโลก รายได้หลักของสโมสรมักจะมาจากลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดที่แบ่งจ่ายให้กับผู้ชนะและสโมสรต่างๆ ในลีกเพื่อเป็นการสนับสนุนการพัฒนาลีกการแข่งขันไปข้างหน้า

 

โดยรายได้ค่าลิขสิทธิ์ของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ กระโดดขึ้นสูงสุดเมื่อปี 2016-2019 จากรายงานของ BBC ระบุว่าพรีเมียร์ลีกสร้างรายได้ทั้งหมด 5,100 ล้านปอนด์ หรือกว่า 2 แสนล้านบาท

 

จากรายได้ดังกล่าวประกอบกับรายงานของ Deloitte ที่ได้ทำสรุปสถานการณ์ทางการเงิน หรือ Financial Report ของฤดูกาล 2016-2017 พบว่าสโมสรในพรีเมียร์ลีกสร้างรายได้มหาศาลจากลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดที่เป็นการประมูลต่อสู้ระหว่าง BT Sport และ Sky Sports มากกว่าลาลีกา สเปน ลีกที่ประสบความสำเร็จรองลงมาถึง 86%

 

Financial Report 2016-17 ของ Deloitte

 

แต่หลังจากทุ่มเงินมหาศาลเพื่อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกของ BT Sport และ Sky Sports ผลปรากฏว่ายอดผู้ชมผ่านระบบถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ของ Sky Sports ตกลงถึง 14% ขณะที่ยอดสมัครสมาชิกของ BT Sport ก็ตกลงถึงหลักพัน หลังจากที่พวกเขาต้องขึ้นค่าสมาชิกรายเดือน บีบให้ต้องหาพาร์ตเนอร์มาจับมือแบ่งปันการประมูลลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกภายในประเทศอังกฤษระหว่างปี 2019-2022 และทำให้ค่าลิขสิทธิ์ในการประมูลครั้งล่าสุดถูกลงในท้ายที่สุด

 

 

ดีลทั้ง 3 ฤดูกาลนี้มีการแบ่งขายเป็นทั้งหมด 7 แพ็กเกจ ซึ่งทาง BT Sport และ Sky Sports ได้ไปคนละ 3 แพ็กเกจ ขณะที่ Amazon.com, Inc. ผู้ค้าปลีกระดับโลกของสหรัฐฯ คว้าแพ็กเกจ F ถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลละ 20 นัด เป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่ฤดูกาล 2019-2020 ผ่านบริการสตรีมมิง Amazon Prime Video ในสหราชอาณาจักร

 

นับเป็นก้าวแรกของบริษัทที่ให้บริการแบบ OTT หรือ Over the Top ช่องทางการสตรีมคอนเทนต์ผ่านทางอินเทอร์เน็ตที่ก้าวเข้ามามีบทบาทเต็มตัวในการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในประเทศอังกฤษ จนมาถึงคราวของ Facebook ที่ก้าวเข้ามาเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกอาเซียนอย่างเต็มตัว

 

 

ก้าวเข้าสู่ระบบสตรีมมิงที่อเมริกันเกมมีประสบการณ์มาก่อน

หลายคนอาจจะเถียงว่ายังไงแฟนบอลส่วนมากก็ต้องการรับชมการแข่งขันฟุตบอลผ่านจอโทรทัศน์หรือกับเพื่อนๆ ตามร้านอาหารมากกว่าจะดูอยู่บ้านเหงาๆ อยู่แล้ว

 

แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นสิ่งที่เราไม่เคยพบเห็นมาก่อน เมื่อเจ้าของลิขสิทธิ์ทั้งสตรีมมิงและบรอดแคสติ้งเป็น Facebook บริษัทระดับโลกที่มีความเข้าใจในพฤติกรรมการรับชมจากข้อมูลที่พวกเขาเก็บสะสมทุกวันขณะที่เราล็อกอินเข้าไปสู่พื้นที่เสมือนจริงที่เขาสร้างขึ้นมา

 

ซึ่งทางเจ้าของลิขสิทธิ์ที่แม้ว่าจะยังไม่มีช่องทางให้บริการในรูปแบบของเคเบิลทีวี หากพวกเขาเปิดระบบการให้บริการรูปแบบใหม่ด้วยระบบสตรีมมิงผ่านอินเทอร์เน็ตที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ ทุกเวลา พฤติกรรมการรับชมกีฬาอาจได้รับผลกระทบและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

 

สหรัฐอเมริกา ประเทศบ้านเกิดของ Facebook ผ่านความเปลี่ยนแปลงจากบรอดแคสติ้งการแข่งขันกีฬาทางทีวีสู่สตรีมมิงบนอินเทอร์เน็ตมาก่อน ทำให้ลีกการแข่งขันชั้นนำของพวกเขาสามารถรับมือกับการบริหารจัดการลิขสิทธิ์ได้อย่างง่ายดาย

 

NFL ลีกอเมริกันฟุตบอล กีฬาอันดับหนึ่งของประเทศ ได้ทำการจำหน่ายลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขันผ่านทางโทรทัศน์ให้กับสื่อต่างๆ แต่เก็บลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดแบบสตรีมมิงไว้เอง และให้บริการสำหรับแฟนกีฬาทั่วโลกผ่านระบบ NFL Game Pass

 

 

THE STANDARD ได้ลองเข้าระบบนี้เพื่อสำรวจว่าหากเราต้องการรับชมอเมริกันฟุตบอลผ่านระบบสตรีมมิงจากเจ้าของลีกจะต้องเสียค่าบริการเท่าไร ก็ได้ค้นพบว่าเราต้องจ่ายเงิน 199 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 6,600 บาทต่อหนึ่งฤดูกาลเพื่อชมการแข่งขันแบบสดๆ ทั้งหมด 256 เกม รวมกับเพลย์ออฟและรอบชิงฯ ซูเปอร์โบวล์นั่นเอง

 

 

แซม โจนส์ ผู้บริหารระดับสูงของ OverTier บริษัทผู้ให้บริการระบบ OTT ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงความร่วมมือกับ Bruin Sports Capital, Deltatre และ WPP เปิดตัว NFL Game Pass ในยุโรปเมื่อเดือนกันยายน ปี 2017 ไว้ว่า พวกเขาเชื่อว่าแฟนกีฬาต้องการประสบการณ์การรับชมกีฬารูปแบบใหม่ที่สามารถพกพาและยกระดับประสบการณ์การรับชมได้

 

“ความต้องการของเราคือเปลี่ยนวิธีการและประสบการณ์ที่ผู้คนได้จากการรับชมการแข่งขันกีฬาในโลกออนไลน์ เพื่อเป็นการสร้างฐานสำหรับยุคต่อไปของการรับชมการแข่งขันกีฬา”

 

 

ผลกระทบที่จะมีต่อประเทศไทยในปี 2019-2020

สิ่งที่ชัดเจนมากที่สุดในวันนี้คือหากคุณลองนัดเพื่อนไปดูฟุตบอลพรีเมียร์ลีกด้วยกันในพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่น คำตอบที่ได้รับ ถ้าไม่เป็นการปฏิเสธโดยตรงก็อาจจะเป็นคำว่าไว้โอกาสหน้า เพราะทุกวันนี้ด้วยการให้บริการในประเทศไทยทั้งการรับชมผ่าน beIN Sports Connect หรือ TrueID ทำให้เราสามารถรับชมกีฬาที่ไหนเมื่อไรก็ได้ แต่สัญญาของผู้ให้บริการทั้งสองกำลังจะหมดลงหลังจากฤดูกาลนี้ผ่านพ้นไป

 

ซึ่งหากเจ้าของลิขสิทธิ์หน้าใหม่อย่าง Facebook จะนำลิขสิทธิ์นี้มาขายให้กับผู้ให้บริการบรอดแคสต์ในประเทศไทยที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันอย่าง TrueVisions หรือ PPTV หรือผู้เล่นรายใหญ่ระดับสากลที่มีบริการในไทยอย่าง BeIN Sports หรือ Fox Sports Asia กติกาของลิขสิทธิ์จะมาในรูปแบบใดคงเป็นสิ่งที่ยังคาดเดาได้ยาก

 

โดยเฉพาะผู้ให้บริการอาจถูกจำกัดสิทธิ์ในการนำลิขสิทธิ์นี้มาหารายได้เพิ่ม เช่น การเปิดให้มีการรับชมการแข่งขันในร้านอาหารหรือการจัดกิจกรรมต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงย่อมมีผู้เห็นโอกาส และธุรกิจบางชนิดอาจเติบโตขึ้น เช่น ธุรกิจที่ตอบโจทย์แฟนบอลที่ตัดสินใจรวมตัวกันที่บ้านหรือคอนโดฯ มากขึ้น

 

แต่สิ่งที่ยืนยันได้ในเวลานี้คือจากการสำรวจพฤติกรรมของแฟนกีฬาในตลาดสหรัฐฯ และอังกฤษได้สรุปแล้วว่าสตรีมมิงคือสิ่งที่จะมาทดแทนบรอดแคสติ้งในอนาคต ขึ้นอยู่กับว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง  

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising