THE STANDARD ยังเกาะติดความคืบหน้าคดีนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) กับพวกรวม 4 คน ขณะลักลอบเข้าไปตั้งแคมป์ล่าสัตว์ป่าสงวนในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฝั่งตะวันตก จังหวัดกาญจนบุรี
โดยวันนี้ (8 ก.พ.) มีการประชุมคดีดังกล่าว โดยจะเชิญเจ้าหน้าที่กรมอุทยานเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ปากคำ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่เข้าเวรระหว่างวันที่ 2-4 กุมภาพันธ์ โดยประเด็นที่จะสอบเบื้องต้นคือการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ระหว่างจับกุม และคลิปเสียงการต่อรองของคณะนายเปรมชัย
ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าหน่วยพญาเสือ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวก่อนการประชุมถึงคลิปเสียงที่หลุดออกมาระหว่างการจับกุมนายเปรมชัย ยืนยันว่าเป็นคลิปเสียงจริง ซึ่งเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมแอบบันทึกไว้ โดยคลิปเสียงดังกล่าวมีความยาวพอสมควร และมีเสียงบุคคลปรากฏในคลิปเสียงประมาณ 2-3 เสียง ซึ่งต้องตรวจสอบอีกทีว่ามีเสียงนายเปรมชัยอยู่ด้วยหรือไม่
แต่เบื้องต้นมีเสียงของนายยงค์ โดดเครือ ซึ่งเป็นคนขับรถ มีการพูดชัดๆ ว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต” และ “อยากได้อะไรก็จะให้” ทั้งนี้คลิปเสียงดังกล่าวได้ส่งให้ทางนิติกรตรวจสอบแล้วพบว่าเข้าข่ายการติดสินบน และในวันนี้ได้นำคลิปเสียงนี้มามอบให้ตำรวจเพื่อตรวจสอบว่าจะสามารถแจ้งข้อหาติดสินบนเจ้าพนักงานเพิ่มได้อีกหรือไม่
นอกจากนี้กำลังตรวจสอบเพิ่มเติมจากภาพถ่ายเก่าๆ ที่นายเปรมชัยไปท่องเที่ยวในป่าว่าคือพื้นที่ใด และเข้าไปโดยถูกต้องหรือไม่
ส่วนพยานหลักฐานในขณะนี้ยืนยันว่า นายเปรมชัยมีเจตนาเข้าไปล่าสัตว์โดยเฉพาะ เพราะมีการเตรียมปืนยาวและเกลือ 4 ถุง เพื่อไว้ถนอมเนื้อและหนังสัตว์ รวมถึงยังพบว่าหนังสัตว์มีการถูกคลุกเกลือแล้ว
ยืนยันว่าไม่กังวลหากนายเปรมชัยจะต่อสู้ว่าตนไม่ได้ยิง เพราะตอนนี้พบดีเอ็นเอของนายเปรมชัยบนอาวุธปืนแล้ว จึงอ้างไม่ได้ว่าไม่ใช่ปืนของตน แม้จะไม่ได้เป็นคนยิง แต่ก็ถือเป็นผู้สั่งการ ซึ่งมีโทษหนักกว่า
หัวหน้าหน่วยพญาเสือยืนยันว่า ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนโทรไปเคลียร์หลังนายเปรมชัยถูกจับ เพราะพื้นที่บริเวณนั้นไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ มีแต่โทรมากำชับให้เดินหน้าเต็มที่โดยไม่ต้องกลัวอิทธิพลใคร
ส่วนประเด็นการปล่อยให้คณะนายเปรมชัยนำอาวุธจำนวนมากเข้าพื้นที่ไปได้อย่างไรนั้น อยากให้เข้าใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ การเดินป่ามีสัมภาระเยอะเต็มคันรถ คงไม่สามารถตรวจสอบได้ทั้งหมด การวิจารณ์ว่าเจ้าหน้าที่ปล่อยปละละเลยทำให้เสียกำลังใจ และอยากให้สังคมเห็นใจว่าเจ้าหน้าที่ทำงานด้วยความเข้มแข็งแม้ค่าตอบแทนจะต่ำ
หัวหน้าหน่วยพญาเสือเปิดเผยด้วยว่า สิ่งที่สะเทือนใจที่สุดและอยากให้สังคมทราบคือ พื้นที่ตรงนั้นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ใครก็สามารถไปได้ แค่เสียบัตรผ่านทางคนละ 20 บาท ค่ารถยนต์อีกคันละ 30 บาท แต่คณะของนายเปรมชัยกลับทำหนังสือขออนุญาตเข้าเพื่อประหยัดเงินเพียง 110 บาท แถมยังไปทำให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่เดือดร้อน
ส่วนเสือดำตัวที่ถูกยิงและชำแหละนั้น ยืนยันว่าไม่ใช่เสือดำตัวสุดท้ายในพื้นที่ แต่เป็นเสือดำตัวเดียวที่นักท่องเที่ยวที่ไปบริเวณนั้นจะพบเจอได้เป็นปกติ โดยมันมักจะมานอนอาบแดดบริเวณถนนเป็นประจำ จึงเชื่อว่าต้องมีคนชี้เป้าให้คณะนายเปรมชัยมาล่าเสือดำตัวนี้โดยเฉพาะ