วันนี้ (5 ส.ค.) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ กรณีความคืบหน้าลอบวางระเบิดกรุงเทพมหานคร (กทม.) ว่า ขอให้เชื่อมั่นการทำงานของฝ่ายความมั่นคง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินการสืบสวนสอบสวนผู้ต้องหาสองคนที่จับกุมได้ ทราบว่ามีผู้ที่เกี่ยวข้องสิบกว่าคน
ขณะนี้ไม่ได้ตัดสาเหตุจูงใจใดทิ้ง ต้องมีการตรวจสอบต่อไป ขอให้ใจเย็น เพราะมีผู้เกี่ยวข้องอีกสิบกว่าคนต้องตามจับให้ได้ ว่าสาเหตุที่เกี่ยวข้องมาจากอะไร หากไปกดดันเจ้าหน้าที่ก็จะทำงานลำบาก เรื่องเช่นนี้พร้อมที่จะเกิดขึ้นในหลายเวทีของโลกนี้ คนเราแตกต่างทางความคิดมากมาย ตนก็ยังไม่ได้มุ่งหมายว่าเป็นกลุ่มไหน
ส่วนพลเอก อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ระบุว่า เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปี 2549 นั้น เป็นแค่เพียงการเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในอดีตที่มีการยึดโยงกัน และมีส่วนที่คล้ายคลึงกัน ส่วนที่มีโอกาสที่กลุ่มการเมืองจะอยู่เบื้องหลังนั้นยังไม่ทราบ อย่าเพิ่งไปสรุปอะไร
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สามจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่
พลเอก ประยุทธ์ กล่าวว่า ยังไม่ตัดเหตุการณ์ใดออก ส่วนกรณีที่มารดาของผู้ต้องหาต้องการทราบที่อยู่ของบุตรชายนั้นถือเป็นเรื่องปกติที่แม่ก็ต้องเป็นห่วงลูก ซึ่งทั้งหมดก็เป็นไปตามวัตถุพยาน หรือกล้อง CCTV รวมถึงหลักฐานที่ตรวจสอบพบ เช่น ถุงเสื้อผ้าก็มีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นต้องฟังทั้งสองทาง ทั้งเจ้าหน้าที่และผู้ต้องหา ส่วนผู้บาดเจ็บได้ให้ทางกระทรวงสาธารณสุขเข้าไปดูแล
พลเอก ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า การบูรณาการกล้อง CCTV นั้น ขึ้นอยู่กับการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ ที่ผ่านมาใช้งานได้จนนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหา ซึ่งต่อไปจะให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจชี้แจงเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นการบูรณาการครั้งแรก งานด้านการข่าว การดำเนินงาน การพิสูจน์หลักฐาน
อย่างไรก็ตามไม่ได้กำหนดกรอบเวลาการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะไปบังคับเช่นนั้นไม่ได้ ต้องมองว่าเรามีตำรวจประมาณสองแสนคน เมื่อเทียบกับประชาชน 70 ล้านคน ก็ต้องช่วยกัน การเฝ้าระวัง ขณะนี้วางเจ้าหน้าที่ไว้ทุกจุด ทุกพื้นที่ และความปลอดภัยไม่ใช่เรื่องของใคร แต่เป็นของประชาชนทุกคน โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการท่องเที่ยว หรือพื้นที่ทางธุรกิจหรือจัดประชุมต่างๆ ถือเป็นหน้าตาของประเทศ ไม่ว่าใครจะทำ ถือว่าเป็นคนที่ใช้ไม่ได้
เมื่อถามว่าการลอบวางระเบิดครั้งนี้เกิดจากแรงจูงใจที่นายกฯ ดูแลทั้งทหารและตำรวจหรือไม่ พลเอก ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกัน ซึ่งตนก็คุยกับพี่น้องทุกคน รวมถึง พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม รวมถึงในส่วนของกระทรวงมหาดไทย และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตนก็ให้แนวทางไปกับตำรวจว่า ทุกอย่างต้องดูแลให้เกิดความน่าเชื่อถือ เชื่อมั่น ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ตนได้จัดคณะทำงานให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้นในการสืบสวนสอบสวนคดี และเน้นย้ำว่าการให้ข้อมูลข่าวสารใดก็ตามที่จะทำให้เกิดการเข้าใจผิด หรือทำให้เกิดความไม่พอใจส่วนตัว ก็ขอให้เบาๆ กันไว้บ้าง
ซึ่งในช่วงนั้นตนก็พยายามที่จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว เนื่องจากตนยังเป็นนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่ไปก้าวล่วง ตนเห็นหลายพรรคก็หาเสียงกันทุกเรื่อง อย่าเอาประเด็นโยงกันไปมา แค่นี้ปัญหาก็เยอะพอสมควรอยู่แล้ว ไม่อยากให้บ้านเมืองสงบหรือไร คนที่ไม่ดีและดำเนินการที่จะทำให้เกิดผลกระทบร้ายแรงกับประเทศชาติก็ต้องถูกดำเนินการ
อย่างไรก็ตามในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ผอ.รมน.) ได้มีการบูรณาการการทำงาน และสั่งการเพิ่มเติมให้ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายสากล (ศตก.) รวมถึงเรื่องการข่าวในการประสานความร่วมมือระหว่างกันกับประเทศเพื่อนบ้าน ก็ต้องดูแลให้มากขึ้นกว่าเดิมในการผ่านแดน ซึ่งคนไม่ดีก็มีจำนวนมาก
ส่วนที่คนมองว่าการก่อเหตุระเบิดเป็นฝีมือของรัฐบาลเพื่อต้องการกลบกระแสบางอย่างนั้น นายกรัฐมนตรียืนยันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ฝีมือของรัฐบาล เพราะขณะเกิดเหตุมีการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนและประเทศคู่เจรจาที่เป็นประเทศมหาอำนาจ ใครจะทำแบบนั้น เว้นแต่เขาทำเพื่อไม่ให้เกิดความน่าเชื่อถือในเวทีต่างประเทศ ขอให้มองมุมนี้บ้าง
“อย่ามองแต่ว่ารัฐบาลจะสร้างสถานการณ์ ที่สำคัญไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร หากผมอยู่เฉยๆ ไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นไม่ดีกว่าหรือ คิดให้มันมีตรรกะหน่อย” พลเอก ประยุทธ์กล่าว
ภาพ: thaigov.go.th
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์