วันนี้ (19 พฤษภาคม) พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมเสวนา ถามมา-ตอบไป เพื่อประเทศไทยที่ดีกว่าเดิม
โดย พล.อ. ประยุทธ์กล่าวว่า ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาพบทุกคนในวันนี้ ตนย้อนคิดเสมอถึงวันที่ตัดสินใจเข้ามาบริหารประเทศเมื่อ 7 ปีก่อน วันนั้นประเทศไทยมีการแบ่งขั้ว สลับกันต่อต้านซึ่งกันและกัน โดยเหตุการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นต่อเนื่องกันมานับ 10 ปี เป็นเหตุให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปไม่ได้ คนไทยไม่มีความสุข และประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นคนป่วยแห่งเอเชีย
ซึ่งในวันนี้พวกเราหลายคนอาจจะลืมกันไปแล้ว และเมื่อตนได้ตัดสินใจไปแล้วก็ได้เดินหน้าทำให้ดีที่สุด และย้อนไปตอนคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็เข้าใจดีว่าต้องแลกกับการถูกกล่าวหาว่าประเทศเราไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ คสช. ได้พิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่าทุกคนสามารถมีเสรีภาพทางความคิด ภายใต้กรอบกฎหมายที่ผ่อนปรนกับทุกฝ่ายมากที่สุด แม้จะมีอำนาจพิเศษมากมายแต่ก็ไม่ได้ใช้ในทุกกรณี แต่ใช้เท่าที่จำเป็นเพื่อแก้ไขปัญหาเท่านั้น และการตรวจสอบต่างๆ องค์กรอิสระยังคงทำหน้าที่เป็นอิสระ โดยไม่เข้าไปก้าวล่วงใดๆ
“วัตถุประสงค์ของการเข้ามาในช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อดำรงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยของประเทศ บ้านเมืองสามารถเดินหน้าต่อไปได้ และทำให้นานาชาติเกิดความเชื่อมั่นประเทศไทย ทุกคนก็ได้เห็นว่าในช่วงหลังจากนั้นรัฐบาลไทยได้รับการยอมรับจากนานาชาติ และประเทศเรามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเยี่ยมเยียนกว่า 40 ล้านคน ในเวลานั้นรัฐบาลได้บริหารประเทศภายใต้วิสัยทัศน์ ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งการสร้างบ้านสร้างชาติให้เป็นบ้านที่มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ที่วางไว้ จำเป็นต้องมีมาสเตอร์แพลน ซึ่งก็คือยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” พล.อ. ประยุทธ์กล่าว
พล.อ. ประยุทธ์กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป็นแผนภาพรวมใหญ่ที่จะทำให้ทุกภาคส่วนในสังคมเข้าใจและเห็นภาพบ้านของเราในอนาคตเดียวกัน เดินไปสู่เป้าหมายที่ตรงกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งในปี 2562 ตนได้มีโอกาสกลับมาสานต่อการบริหารภายใต้รัฐธรรมนูญปัจจุบัน ตนและคณะรัฐมนตรีทุกคนได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันแม้หลายประเทศรวมถึงประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา แต่ประเทศไทยก็ยังเติบโตได้ดีในระดับหนึ่ง
พล.อ. ประยุทธ์กล่าวต่อไปว่า วิกฤตโรคระบาดโควิดตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งเป็นวิกฤตโลกที่เราไม่ได้ก่อ และเป็นมหาวิกฤตครั้งที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อการถดถอยทางเศรษฐกิจของทุกประเทศในโลก รวมถึงประเทศไทยที่เราถูกประเมินว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดในระดับต้นๆ ของโลก เพราะเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการท่องเที่ยวกว่าร้อยละ 20 ของ GDP ซึ่ง เมื่อมองย้อนกลับไป 2 ปี วิกฤตโรคระบาดโควิดนี้นับเป็นโจทย์ที่ยาก เพราะเราสู้อยู่กับศัตรูที่มองไม่เห็น ไม่มีอาวุธใดจะปราบได้ และต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการเยียวยา ช่วยเหลือประชาชน เพื่อตั้งหลัก ประคับประคอง และกระตุ้นเศรษฐกิจ
พล.อ. ประยุทธ์กล่าวด้วยว่า ผลสัมฤทธิ์จากความร่วมมือร่วมใจของคนไทยทุกภาคส่วน ทำให้องค์กรต่างประเทศหลายแห่ง รวมถึงองค์การอนามัยโลกให้การยอมรับและชื่นชมประเทศไทยให้เป็นประเทศที่รับมือกับสถานการณ์โควิดได้ดีที่สุดเป็นลำดับต้นๆ ของโลก เมื่อมองในแง่บวกแล้ว แม้โควิดจะเป็นวิกฤตโลก แต่ก็เป็นโอกาสของไทยในหลายๆ ด้าน เช่น ทั่วโลกได้เห็นศักยภาพระบบสาธารณสุขไทย และยกระดับขีดความสามารถในการวิจัย พัฒนา และผลิตวัคซีนโควิด ซึ่งเป็นเทคโนโลยีชั้นสูงได้เองหลายชนิด พร้อมส่งเสริมบทบาทการเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์และสาธารณสุข (Medical and Wellness Hub) ของโลก
พล.อ. ประยุทธ์กล่าวต่อไปว่า ขณะที่เมื่อเร็วๆ นี้ ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยได้รับผลกระทบของวิกฤตจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งเป็นการเผชิญวิกฤตซ้อนวิกฤตหลังจากสถานการณ์โควิด โดยโลกแบ่งเป็น 2 ขั้ว ทรัพยากรที่เคยสมดุลต้องขาดแคลน มีผลให้ราคาสินค้า พลังงาน และค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น สร้างความหวาดกลัวว่าสงครามจะยืดเยื้อ สิ่งสำคัญที่สุดในวันนี้คือ การแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน รัฐบาลจึงได้เข้ามาดูแลประชาชนด้วยมาตรการต่างๆ เพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ซึ่งรัฐบาลตระหนักว่าสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้มีความไม่แน่นอนและอาจยืดเยื้อ รัฐบาลจะติดตามประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง และพร้อมที่จะปรับปรุงแนวทางการช่วยเหลือให้เกิดประโยชน์สูงสุด
พล.อ. ประยุทธ์กล่าวอีกว่า เรื่องสำคัญอีกเรื่อง ตนได้ประกาศให้ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้ไขหนี้ครัวเรือน ครอบคลุมลูกหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ซึ่งขณะนี้ได้ปลดล็อกเงื่อนไขหลายประการ ทั้งนี้หากเราสร้างกลไกการทำงาน กลไกความร่วมมือในทุกระดับได้แล้ว ทุกอย่างก็จะทยอยดีขึ้น ไม่ใช่ว่าคนจนจะหมดไปในปีนี้หรือในทันทีได้ มันต้องอาศัยเวลาและความร่วมมือด้วยกัน
“ที่ผ่านมาแม้ประเทศไทยจะเจอกับเรื่องวิกฤตซ้อนวิกฤต ไม่ว่าจะจากโรคโควิด ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงเกิดความแตกแยกทางความคิดมากมายแค่ไหนก็ตาม รัฐบาลของผมก็ยังเดินหน้าพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่อง ภายหลังจากที่สถานการณ์โควิดคลี่คลายลง ประเทศไทยเองต้องมีการลงทุน และเตรียมความพร้อมที่จะเติบโต ด้วยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่” พล.อ. ประยุทธ์กล่าวในที่สุด