วันนี้ (17 สิงหาคม) ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบหมายให้ อนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงตอบคำถามต่อสื่อมวลชนในประเด็นต่างๆ
อนุชากล่าวถึงกรณีการชุมนุมทางการเมืองตอนนี้ที่มักจะมีความวุ่นวายเกิดขึ้นหลังยุติการชุมนุมตลอดว่า พล.อ. ประยุทธ์ให้นโยบายอย่างต่อเนื่องว่าให้เจ้าหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยโดยให้ยึดกฎหมายที่มีอยู่และดำเนินการอย่างระมัดระวัง รวมทั้งขอให้ยึดหลักสากลในการสลายการชุมนุม
อนุชากล่าวอีกว่า นอกจากนี้ให้มีการระงับเหตุรุนแรงที่จะเกิดขึ้นโดยเฉพาะจากผู้ชุมนุม อีกทั้งขณะนี้ไม่ใช่มีเพียงผลกระทบต่อประชาชนทั่วไป ทั้งในส่วนของการจราจรและการทำลายทรัพย์สินของราชการอย่างที่ปรากฏในข่าวอย่างต่อเนื่อง หรือแม้กระทั่งการทำร้ายเจ้าหน้าที่ด้วยวิธีการต่างๆ และย้ำว่าทุกอย่างต้องดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่กระทำความผิด โดยเจ้าหน้าที่มีความจำเป็นในการดำเนินการเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยกับบ้านเมืองโดยเร็ว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯ มองสถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้ทั้งในและนอกสภาฯ อย่างไร อนุชากล่าวว่า มีความเป็นห่วงถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่ยังมีการแพร่ระบาดของโควิดอยู่ ซึ่งเป็นช่วงสำคัญที่ประชาชนคนไทยทุกคนกำลังให้ความร่วมมือ นายกฯ ขอขอบคุณคนไทยส่วนใหญ่ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ไม่ไปรวมตัวกันในกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งกิจการบางส่วนและหลายส่วนที่ได้รับความเดือดร้อนจากมาตรการในการปิดกิการอยู่ในขณะนี้ด้วย
อนุชากล่าวอีกว่า นายกฯ ไม่ต้องการให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่อยากให้กลับไปเหมือนในอดีตในช่วงที่มีการชุมนุมแล้วมีเหตุการณ์บานปลายเกิดขึ้น ดังนั้นขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงในการออกมาชุมนุม เพราะหากออกมาในช่วงนี้ก็ต้องถูกเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีทางกฎหมายและในส่วนที่ต้องส่งฟ้อง หากส่งฟ้องแล้วมีการดำเนินการผิดเงื่อนไขของการที่ศาลให้ประกันตัวก็ต้องโดนคุมขัง ดังนั้นขอให้ผู้ที่ถูกดำเนินคดีแล้วพิจารณาในส่วนนี้ด้วย
อนุชายังได้กล่าวถึงความพร้อมในการรับมือกับศึกซักฟอกที่จะมีขึ้นว่า พล.อ. ประยุทธ์กล่าวว่า ให้ ครม. ที่อยู่ในรายชื่อที่จะถูกอภิปรายได้เตรียมความพร้อม และนายกฯ ระบุว่าถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะชี้แจงให้ประชาชนได้ทราบในมุมต่างๆ ในการทำงานของรัฐบาลว่าสิ่งที่ผ่านมาอาจเกิดความเข้าใจผิดจากการไม่ได้ชี้แจงให้ครบถ้วน ดังนั้นจังหวะที่จะใช้เวทีสภาผู้แทนราษฎรในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะสื่อสารให้ประชาชน โดยเฉพาะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รับทราบถึงการทำงานที่ผ่านมา
