วันนี้ (28 เมษายน) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมเเถลงข่าวต่อสื่อมวลชนพร้อมพรรคร่วมฝ่ายค้านถึงแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงข้อเสนอในการบริหารจัดการวัคซีนในสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา 2019 ของรัฐบาลที่ล้มเหลว นำไปสู่วิกฤตของประเทศในปัจจุบัน
พิธากล่าวว่า เป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้วที่รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่สามารถพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นถึงความสามารถและวิสัยทัศน์ในการจัดการวิกฤตในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมายิ่งเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า รัฐบาลล้มเหลวและผิดพลาดในการรับมือสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศอย่างสิ้นเชิง ทั้งที่ตั้งแต่ประเทศไทยได้พบเจอกับวิกฤตโควิด-19 บุคลากรทางการแพทย์ต้องเสียสละแรงกายแรงใจ ประชาชนต้องอดทนพบเจอกับความลำบากในการใช้ชีวิต โดยหวังว่าจะเป็นการซื้อเวลาให้มีการบริหารจัดการที่ดี แต่รัฐบาลของ พล.อ. ประยุทธ์ ได้ทำลายความหวังของพี่น้องประชาชนลงไปอย่างรวดเร็ว มิหนำซ้ำยังทำตัวเป็น ‘ทองไม่รู้ร้อน’ ไร้ซึ่งความรับผิดชอบต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้น
พิธากล่าวต่อไปว่า รัฐบาลต้องยอมรับความจริงได้แล้วว่าตัวเองนั้นไร้ประสิทธิภาพ ไร้ความสามารถ ไร้ความน่าเชื่อถือ และไร้ความเข้าใจในการจัดการปัญหานี้ ประชาชน พ่อค้าแม่ขาย เจ้าของธุรกิจน้อยใหญ่ กำลังเดือดร้อนอย่างหนักจากการบริหารที่ไร้ความรับผิดชอบ พวกเขากำลังอดตายจากมาตรการหอคอยงาช้าง พวกเขากำลังสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจจากความไร้ประสิทธิภาพในการบริหาร พวกเขากำลังสูญเสียโอกาสในการดำรงชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยไร้กังวลจากความผิดพลาดในการบริหารจัดการวัคซีน รวมถึงพวกเขาหลายคนที่ต้องสูญเสียชีวิต สูญเสียสมาชิกในครอบครัว สูญเสียคนที่รัก อย่างไม่มีวันกลับมา
“พวกผมหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านทั้ง 6 พรรค ไม่อาจฝืนทนมองเห็นความสูญเสียที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยตอนนี้ได้อีกต่อไป จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลยุติบทบาทในการบริหารประเทศทันทีด้วยการลาออก เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อความสูญเสียต่างๆ ที่ไม่อาจประเมินค่าได้ ที่พวกท่านได้ทำต่อประเทศไทยตลอด 7 ปีที่ผ่านมา และ 1 ปีที่มีเเต่ความล้มเหลว ผมขอเสนอให้ พล.อ. ประยุทธ์ ลาออกจากตำเเหน่ง ยุติบทบาทโดยทันที และเปิดโอกาสให้รัฐบาลมืออาชีพเข้ามาบริหารประเทศแทน”
นอกจากนี้ พิธายังได้กล่าวถึงแนวทางในการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคก้าวไกลว่า ขอย้ำว่าหากรัฐบาลตัดสินใจยุติบทบาท เรายังมีความจำเป็นที่ต้องเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ต่อไป ด้วยการผลักดันให้ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติให้มีผลบังคับใช้ เพื่อจัดทำประชามติยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับเก่า แล้วจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยประชาชน ซึ่งกระบวนการดังกล่าวจะเกิดขึ้นคู่ขนานไปกับการเดินหน้ายกเลิกมาตรา 272 ว่าด้วยอำนาจของวุฒิสภาในการเลือกนายกรัฐมนตรี
“รัฐธรรมนูญฉบับสืบทอดอำนาจนี้เป็นต้นตอของการมีอยู่ของรัฐบาลที่ไร้ความสามารถ และเพิกเฉยต่อความไม่พอใจของประชาชน ซึ่งส่งผลให้การแก้ไขวิกฤตต่างๆ ในประเทศเป็นไปได้ด้วยความยากลำบากล่าช้า จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เราต้องเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นการถอนรากถอนโคนวงจรการสืบทอดอำนาจเผด็จการที่ไม่เคยเห็นหัวประชาชนให้ออกไปจากสังคมไทย
“โดยพรรคก้าวไกลขอยืนยันว่า เราจะไม่ขอรับข้อเสนอใดๆ ที่เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 จากพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะข้อเสนอของ ไพบูลย์ นิติตะวัน ที่เป็นอีกหนึ่งความพยายามในการสืบทอดอำนาจระบอบเผด็จการเช่นเดียวกับที่เคยเป็นมาโดยตลอด มีอำนาจเต็มมือแต่ไม่สามารถบริหารจัดการได้ และขอเรียกร้องให้พรรคร่วมฝ่ายค้านร่วมมือกันตัดตอนวงจรการสืบทอดอำนาจนี้ เพื่อคืนอำนาจสู่มือประชาชนอย่างแท้จริง”
พิธายังได้กล่าวถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาวิกฤตประเทศที่เกิดขึ้น โดยระบุว่า ในวันนี้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า รัฐบาลของ พล.อ. ประยุทธ์ ไร้ความสามารถมากเพียงใด วิกฤตการเมืองก็แก้ไม่ได้ วิกฤตเศรษฐกิจก็มีแต่เลวร้ายลง ต้องมาเจอวิกฤตศรัทธาประชาชนอีก ถึงเวลาแล้วที่พวกท่านต้องหยุดโอบกอดอำนาจที่ไม่ได้เป็นของท่าน ปล่อยคืนสู่มือประชาชน เปิดทางให้รัฐบาลมืออาชีพเข้ามาแก้วิกฤต พรรคก้าวไกลจึงขอเสนอโรดแมปเพื่อออกจากวิกฤตดังใน 3 ประเด็นหลัก
ประเด็นเเรก รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ต้องยุติบทบาทการบริหารประเทศด้วยการลาออกทันที ประเด็นที่สอง ตั้งรัฐบาลใหม่ชั่วคราวเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วน 2 เรื่อง คือ ปัญหาสถานการณ์โควิด-19 และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนประเด็นสุดท้ายคือ ยุบสภาเพื่อให้เกิดการเลือกตั้งทั่วไป โดยทั้งหมดจะทำภายในเวลาไม่เกิน 1 ปีเท่านั้น
“ผมขอยกคำถามที่เคยถามเพื่อนสมาชิกรัฐสภา เมื่อมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจมาถามทุกๆ ท่านอีกครั้งว่า พวกท่านจะเลือกประยุทธ์หรือประเทศ เพราะเวลากำลังเดินไปข้างหน้า โอกาสทางเศรษฐกิจและศรัทธาของประชาชนกำลังลดน้อยลงทุกวินาที ดังนั้น หมดเวลาของเผด็จการ หมดเวลาของประยุทธ์แล้วครับ” พิธากล่าวทิ้งท้าย
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล