วันนี้ (10 ธันวาคม) ประยุทธ์ ศิริพานิชย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการเสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหมว่า ตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 กำหนดว่าการจะเสนอร่างกฎหมายเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรจะต้องได้รับความเห็นชอบจากพรรคการเมืองก่อน แต่ในรัฐธรรมนูญปี 2560 สามารถเสนอร่างกฎหมายเข้าสู่ที่ประชุมได้หากมีเสียง สส. รับรองเกิน 20 คน ตามที่ระเบียบข้อบังคับกำหนด ซึ่งต้องยอมรับว่าร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากพรรค แต่เตรียมที่จะเสนอให้ที่ประชุมพรรคพิจารณาในวันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคมนี้ หากที่ประชุมไม่เห็นด้วยตนก็ยินดีจะดึงกลับมาทบทวน แต่คงไม่ถึงขั้นยอมถอยไม่เสนอร่างกฎหมายฉบับนี้
ประยุทธ์กล่าวต่อว่า หลักการในการร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม เพื่อสอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศ ซึ่งตนเคยอยู่ตั้งแต่การรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519 ถูกรัฐประหารและถูกขังลืม แม้จะไม่ได้ผูกใจเจ็บอาฆาตมาดร้าย แต่การเกิดรัฐประหารซ้ำไปมาตนก็อยากให้ประเทศนี้ดำเนินไปตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีการคานอำนาจกันระหว่างบริหาร ตุลาการ และนิติบัญญัติ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าหลายคนมองว่าการเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นเพราะพรรคเพื่อไทยยังกังวลว่าจะถูกรัฐประหาร ประยุทธ์กล่าวว่า การรัฐประหารเป็นการยึดอำนาจในการปกครองแผ่นดิน หมายความว่าทุกพรรคการเมืองถูกรัฐประหาร ไม่ใช่แค่เฉพาะพรรคเพื่อไทย และแม้ว่ากฎหมายของตนจะผ่านความเห็นชอบแบบ 100% ก็ไม่สามารถล้วงลูกเข้าไปจัดการกองทัพได้ เพราะหลักการแต่งตั้งข้าราชการชั้นนายพลยังคงการเสนอตามลำดับ เพียงแต่ต้องให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เห็นชอบด้วย
การที่ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายฉบับนี้และไม่เชื่อว่าจะสามารถสกัดการเกิดรัฐประหารได้จริง ส่วนตัวก็พร้อมจะยอมรับ แต่ก็ถือเป็นสิทธิของตนที่จะใช้อำนาจหน้าที่ในการเสนอกฎหมาย ส่วนเมื่อเสนอไปแล้วใครจะเห็นด้วยไม่เห็นด้วยอย่างไรก็ยินดีรับฟัง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าหลังจากเรื่องนี้ตกเป็นกระแสข่าว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยได้ต่อสายมาพูดคุยบ้างแล้วหรือไม่ ประยุทธ์กล่าวว่า ยังไม่มี และขณะนี้ผู้ใหญ่ของพรรคก็ยังไม่มีใครติดต่อมา
เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่ายืนยันได้ใช่หรือไม่ว่าการเสนอร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ใช่เพื่อปกป้องประโยชน์ของพรรคเพื่อไทยในการเป็นแกนนำรัฐบาลที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตใช่หรือไม่ ประยุทธ์ยืนยันว่า ไม่ใช่ และเป็นการตีความที่ไกลสุดโต่งเกินไป เพราะตนไม่ได้มีหน้าที่ที่จะต้องกังวลในเรื่องนั้น