วันนี้ (18 กุมภาพันธ์) ที่รัฐสภา ประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ นิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในกรณีมีผลประโยชน์เบื้องหลังโครงการ ‘เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจะนะ เมืองอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต’ โดยตั้งชื่อการอภิปรายไว้ในหัวข้อ ‘ผลประโยชน์เบื้องหลังจะนะ: นายทุนคิด ทหารดัน นักการเมืองหาประโยชน์’
ประเสริฐพงษ์กล่าวว่า รัฐบาลนำโดยศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธาน ขายฝันกับชาวบ้านว่าจะมีการลงทุนบนพื้นที่ประมาณ 16,753 ไร่ เม็ดเงินลงทุน 18,680 ล้านบาท จะเกิดอุตสาหกรรมหนัก, อุตสาหกรรมเบา, เมืองที่อยู่อาศัยอัจฉริยะ, ศูนย์รวมและกระจายสินค้า, โรงไฟฟ้า 3,700 เมกกะวัตต์ และอื่นๆ อีกมากมาย มีการโฆษณาว่าจะมีการจ้างงานในพื้นที่ 100,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะหากประเมินจากสถานการณ์ปัจจุบันจะเห็นชัดเจนว่าต่างชาติหนีหาย ไม่มาลงทุน เนื่องจากเศรษฐกิจย่ำแย่ รัฐบาลล้มเหลว
ประเสริฐพงษ์กล่าวต่อว่า โอกาสที่อุตสาหกรรมจะเกิดมีน้อยมาก แต่เหตุที่รัฐบาลและนิพนธ์เร่งรัดผลักดันโครงการเมืองจะนะให้เกิดพบว่า กลุ่มทุนคือ TPIPP (บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)) ที่มาพร้อมแผนการสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ โดยโครงการทั้งหมดที่วางแผนไว้ 3,700 เมกกะวัตต์ โดยเอกสารเตรียม EIA ของบริษัท TPIPP เอง เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2563 บอกชัดเจนเลยว่า TPIPP เป็นคนไปเสนอแผนการผลักดันพัฒนาโครงการในพื้นที่จะนะ ซึ่งวันที่ 21 มกราคม 2564 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบไปแล้ว 1,700 เมกกะวัตต์ ที่เอื้อให้เกิดโรงไฟฟ้าของบริษัท TPIPP ขึ้นในพื้นที่อำเภอจะนะ ซึ่งเรื่องนี้ก็ยังสงสัยว่าทำไมไม่ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ เป็นฝ่ายทำ
ดังนั้นถ้าโครงการยังเดินหน้าต่อไปแบบนี้คาดว่า โรงไฟฟ้าก็จะมาอีกเรื่อยๆ โครงการจะนะเมืองก้าวหน้าแห่งอนาคตจะไม่มีอนาคตของประชาชน แต่จะกลายเป็นโรงไฟฟ้าของกลุ่มทุน ไม่แตกต่างจากที่เกิดขึ้นกับมาบตะพุด จังหวัดระยอง ที่เต็มไปด้วยมลพิษและปัญหาสิ่งแวดล้อม และต้องอย่าลืมว่ากลุ่มทุนเครือ TPIPP มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดแนบแน่นกับผู้มีอำนาจในรัฐบาล โดยบริษัทเครือ TPIPP ยังมีชื่อเป็นหนึ่งในผู้บริจาคเงินผ่านโต๊ะจีนประชารัฐ มีสายสัมพันธ์แนบแน่นใกล้ชิดกับทั้งพรรคพลังประชารัฐที่ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหัวหน้าพรรค รวมถึงกับนิพนธ์จากพรรคประชาธิปัตย์ เราจึงเห็นความพยายามผลักดันโครงการเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนอย่างแข็งขัน
“ทำให้สงสัยว่าโครงการจะนะที่นิพนธ์และ ศอ.บต. ที่ พล.อ. ประยุทธ์ เป็นประธาน เกิดขึ้นเพื่อผลประโยชน์ของนายทุนหรือเพื่อใคร เพราะวันที่ 18 สิงหาคม 2563 ครม. มีมติให้กรมโยธาธิการและผังเมืองแก้ไขผังเมืองเพื่อเปลี่ยนพื้นที่ใน 3 ตำบลในอำเภอจะนะ จากพื้นที่สีเขียวที่เป็นพื้นที่ชนบทและเกษตรกรรม และสีเขียวคาดขาวที่เป็นพื้นที่อนุรักษ์ป่าไม้ ซึ่งเดิมห้ามไม่ให้เอกชนตั้งโรงงงานที่ส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม ก็ไปเปลี่ยนให้เป็นสีม่วงเข้ม หรือพื้นที่อุตสาหกรรมหนัก โดยการเปิดโปงของนักข่าว ตั้งคำถามเกี่ยวกับการกว้านซื้อที่ดิน โดยมีนักการเมืองระดับชาติที่คนในพื้นที่รู้กันดีเกี่ยวข้อง โดยดำเนินการในนามลูกชาย ทนายคนหนึ่ง และเครือญาติ ซึ่งเหตุนี้ทำให้ตนกล่าวหานิพนธ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่กำกับดูแลกรมที่ดิน” ประเสริฐพงษ์กล่าว
พบเครือญาติ-เครือข่ายนิพนธ์ เอี่ยวจัดซื้อที่ดินในโครงการ
ประเสริฐพงษ์กล่าวว่า ข้อมูลการซื้อขายที่ดินจากสารบบที่ดินและหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดิน สำเนาโฉนดที่ดิน ในพื้นที่ที่จะจัดตั้งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษเฉพาะกิจ 3 ตำบลของอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ซึ่งก็คือที่ดินที่ท่านจะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีม่วง ข้อมูลนี้ได้มาจากเอกสารของอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาปัญหาที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจากเขตเศรษฐกิจพิเศษ และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งขอข้อมูลมาจากสำนักงานที่ดินจังหวัดสงขลา สาขาจะนะ และข้อมูลที่ได้มามีเพียงเดือนเดียวคือเดือนมกราคม พ.ศ. 2563 เดือนที่ ครม. มีมติเปลี่ยนสีผังเมือง ประเด็นสำคัญคือบรรดาตัวละครสำคัญที่เกี่ยวข้องหลายคนล้วนเป็น ‘เครือข่ายเครือญาติใกล้ชิด’ ของนิพนธ์ ที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็น นิธิกร บุญญามณี ลูกชายคนเล็กของนิพนธ์ ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทค้าที่ดิน, สิรภพ เริงฤทธิ์ ทนายความคนสนิทของนิพนธ์ เคยเป็นพนักงานจ้าง ตำแหน่งผู้ช่วยนิติกรขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สงขลา ในสมัยที่นิพนธ์เป็นนายก อบจ. คนในพื้นที่รู้จักคนคนนี้ดี เพราะเป็นนายหน้าดำเนินการต่างๆ ในพื้นที่แทนนายนิพนธ์และครอบครัว โดยรู้จักกันในชื่อ ‘ทนายอาร์’, วุฒิชัย วัตตธรรม ลูกพี่ลูกน้องของ กัลยา บุญญามณี ภรรยาของนิพนธ์, ชัยโรจน์ จิวระประภัทร์ คู่เขยของนิพนธ์
“คนเหล่านี้คือคนที่มีชื่ออยู่ในสารบบที่ดินและหนังสือสัญญาการซื้อขายที่ดินที่ผมได้มา อันนี้เป็นเพียงข้อมูลตัวอย่างส่วนเดียวที่เข้าถึงได้ในเดือนมกราคม 2563 ที่มีมติ ครม. เห็นชอบโครงการและเปลี่ยนสีผังเมือง และข้อมูลนี้ก็เป็นพื้นที่แค่ 3 ตำบลของอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ซึ่งไม่รู้ว่ามีส่วนที่ผมยังเข้าไม่ถึงข้อมูลอีกเท่าไร” ประเสริฐพงษ์กล่าว
พบพิรุธ…ใน 1 เดือน ซื้อขายที่ดินผิดปกติ
ประเสริฐพงษ์ยังกล่าวต่อไปอีกว่า จากการตรวจสอบ พบเห็นการซื้อขายที่ดินอย่างผิดปกติในช่วงเดือนมกราคม 2563 ที่ ครม. มีมติให้เปลี่ยนสีผังเมือง โดพบการกว้านซื้อของรายใหญ่ 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มเครือข่ายครอบครัวคนใกล้ชิดของนิพนธ์ พบการซื้อขายทั้งหมด 23 ธุรกรรม โดยเป็นการซื้อขายที่ดินของนิธิกร 10 ธุรกรรม จำนวน 34 ไร่ มูลค่า 9,400,000 บาท, สิรภพ 8 ธุรกรรม จำนวน 52 ไร่ มูลค่า 12,600,000 บาท, ชัยโรจน์ 2 ธุรกรรม จำนวน 181 ไร่ มูลค่า 45,500,000 บาท, วุฒิชัย 1 ธุรกรรม ไม่น้อยกว่า 180 ไร่ มูลค่า 36,300,000 บาท, ศิรานุช ภูริศักดิ์ไพศาล พี่น้องภรรยาวุฒิชัย 2 ธุรกรรม จำนวน 11 ไร่ มูลค่า 5,900,00 บาท รวม 5 คนที่เป็นเครือญาติของนิพนธ์มีการรับซื้อที่ดิน 23 ธุรกรรม พื้นที่ 464 ไร่ มูลค่า 110 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 236,166 บาทต่อไร่ และอีกกลุ่มที่มีปริมาณการซื้อที่ดินมากผิดปกติคือ บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPP มีการกว้านซื้อที่ดิน 25 ธุรกรรม พื้นที่ 450 ไร่ มูลค่า 271 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 602,608 บาทต่อไร่ ซึ่งตรงนี้จะเห็นว่าราคาที่ดินที่บริษัทซื้อจากชาวบ้านอยู่ที่เฉลี่ยไร่ละ 600,000 บาท ขณะที่เครือข่ายนิพนธ์ซื้อที่ดินแค่ในราคาเฉลี่ยเพียง 240,000 บาทต่อไร่เท่านั้น ราคาต่างกันเกินเท่าตัว
“แต่อย่าเพิ่งดีใจว่า TPIPP ซื้อที่ชาวบ้านในราคาสูง เพราะมูลค่าซื้อขายที่ดิน 271 ล้านบาทของ TPIPP ในเดือนมกราคม 2563 มีไม่ถึง 1 ใน 5 เท่านั้นที่ตกถึงมือชาวบ้าน เพราะในจำนวนการซื้อขายที่ดินทั้งหมดเป็นการซื้อที่ดินจากชัยโรจน์และวุฒิชัย 224 ล้านบาท หรือ 83% ส่วนที่ตกถึงมือชาวบ้านแค่ 17% เท่านั้น นอกจากนี้ถ้าดูในแง่ของวันที่โอนที่ดิน ถ้าเอาวันที่ 21 มกราคม 2563 ที่ ครม. มีมติเห็นชอบโครงการเขตพัฒนาพิเศษจะนะและให้เปลี่ยนสีผังเมืองเป็นตัวแบ่งจะพบว่า หลังวันที่ 21 มกราคม 2563 มีการซื้อที่ดินเพิ่มอย่างเห็นได้ชัด แค่ 10 วัน มี 25 ธุรกรรม ในขณะที่ก่อนหน้านั้นมี 19 ธุรกรรม ซึ่งผู้ที่กว้านซื้อมาก่อนวันที่ 21 มกราคม 2563 คือกลุ่มของนิธิกรและสิรภพ เครือข่ายครอบครัวของนิพนธ์ ส่วนกลุ่มที่กว้านซื้อที่ดินมากหลังวันที่ 21 มกราคม 2563 คือบริษัท TPIPP ข้อสังเกตก็คือเครือข่ายครอบครัวของนิพนธ์รู้ล่วงหน้าว่าจะมีมติ ครม. ออกมาในวันไหน ซึ่งจะมีผลกับราคาที่ดินหรือไม่ ถึงได้เร่งซื้อ-เร่งโอนที่ดินกันก่อนที่จะมีมติ ครม. ออกมา นิพนธ์จึงมีพฤติกรรมใช้ข้อมูลภายในจากฐานะรัฐมนตรีเอื้อประโยชน์ให้เครือญาติกว้านซื้อที่ดินหรือไม่” ประเสริฐพงษ์กล่าว
อ้างเงินส่วนต่างเข้ากระเป๋าเครือข่ายนิพนธ์
ประเสริฐพงษ์กล่าวอีกว่า สำหรับผู้ที่คิดว่าพอมีโครงการพัฒนามาแล้ว ผลประโยชน์จะตกถึงมือชาวบ้าน ข้อมูลการซื้อขายที่ดินบอกเราว่าไม่จริง จากข้อมูลการซื้อขายพบว่า กลุ่มของนิพนธ์ซื้อที่ดินจากชาวบ้าน 2.5-3 แสนบาทต่อไร่เท่านั้น อาจแพงกว่าราคาตลาดประมาณ 1.5-2 เท่า แต่กลุ่มเครือข่ายครอบครัวของนิพนธ์สามารถเอาที่ดินไปขายได้ราคาเพิ่มขึ้นถึงไร่ละ 6-8 แสนบาท กินส่วนต่างราคาที่ดิน 2-3 เท่าจากที่ซื้อมาจากชาวบ้าน และถ้าบริษัท TPIPP เอาที่ดินไปพัฒนา เกิดนิคมอุตสาหกรรมได้จริง ก็จะสามารถขายที่ดินในนิคมได้ไร่ละ 3 ล้านบาท มูลค่าที่ดินก็จะเพิ่มขึ้นจากที่ชาวบ้านขายเกิน 10 เท่าตัว และเพื่อให้เห็นภาพ ตนลองคิดจากที่ดินที่เครือข่ายครอบครัวของนิพนธ์รับซื้อในเดือนมกราคม 2563 จำนวน 464 ไร่ มูลค่าที่ดินที่นิพนธ์ซื้อทั้งหมดประมาณ 110 ล้านบาท แต่เมื่อนำไปขายให้บริษัท TPIPP จะขายได้ 280 ล้านบาท เครือข่ายของนิพนธ์กินส่วนต่างราคา 170 ล้านบาท
“นี่แค่เดือนเดียว พื้นที่ 3 ตำบล และถ้าเกิดนิคมอุตสาหกรรม มูลค่าที่ดิน 464 ไร่ที่ TPIPP รับซื้อมาตรงนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 1,300 ล้านบาท สูงขึ้นกว่าที่ชาวบ้านขายให้เครือข่ายครอบครัวนายนิพนธ์ 12 เท่าตัว นี่คือแค่ส่วนเดียว ส่วนน้อย ถ้าคิดเขตผังเมืองสีม่วงทั้งหมดที่เป็นที่ตั้งโครงการจะนะ 16,753 ไร่ จะทำให้มีเม็ดเงินไปอยู่ในกระเป๋าของบริษัท TPIPP ไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท นี่แค่เรื่องที่ดินอย่างเดียว ยังไม่รวมโรงไฟฟ้า ยังไม่รวมปิโตรเคมี แต่ต้องอย่าลืมว่ามูลค่าที่ดินที่สูงขึ้นของกลุ่มนายทุนต้องแลกมาด้วยวิถีชีวิต ท้องทะเล สิ่งแวดล้อมของชาวบ้านจะนะ ดังนั้นพี่น้องประชาชนในพื้นที่ที่ดูอยู่ตอนนี้ ใครที่กำลังคิดจะขายที่ดินของท่านให้กับกลุ่มขบวนการเครือข่ายเหล่านี้ ขอให้ท่านกลับไปดูว่าราคาที่เขาจะซื้อได้ราคาถึง 600,000 บาท เท่ากับที่เขาจะเอาไปขายต่อให้นายทุนหรือไม่ ส่วนที่ท่านขายที่ดินไปแล้ว ก็ขอให้ท่านตระหนักไว้ด้วยว่า มีเงินมากกว่านี้ที่ควรจะได้ แต่ไปตกอยู่ในกระเป๋าของเครือข่ายครอบครัวของนิพนธ์” ประเสริฐพงษ์ระบุ
พบพฤติกรรมอำพราง ซื้อจากลูกนิพนธ์ ก่อนปล่อยต่อเพียง 4 วัน ฟันส่วนต่าง 147 ล้านบาท
ประเสริฐพงษ์กล่าวต่อไปอีกว่า เรายังพบมีกรณีการซื้อขายที่ดินอย่างผิดปกติ โดยมีที่ดินแปลงที่ TPIPP รับซื้อจาก 2 คนที่เป็นเครือญาติของนิพนธ์คือวุฒิชัยและชัยโรจน์ ในวันที่ 28 มกราคม 2563 โดยบริษัทรับซื้อที่ดิน นส.3ก. 4 แปลง คิดเป็นพื้นที่รวมทั้งหมด 181 ไร่เศษจากวุฒิชัย ในราคา 105 ล้านบาท และรับซื้อที่ดินราคา นส.3ก. อีก 4 แปลง พื้นที่ไม่น้อยกว่ารวมทั้งหมด 180 ไร่จากชัยโรจน์ ในราคา 119 ล้านบาท นั่นแปลว่าในวันเดียวคือวันที่ 28 มกราคม บริษัท TPIPP ซื้อที่ดินจาก 2 คนนี้รวมกันไม่น้อยกว่า 361 ไร่ มูลค่า 226 ล้านบาท คิดเป็นเงิน 85% ของเงินทั้งหมดที่บริษัทซื้อที่ดินในเดือนมกราคม 2563 ซึ่งการซื้อที่ดินจาก 2 คนนี้ ถึงจะเป็นที่ดินแปลงใหญ่และมูลค่าสูงกว่าที่รับซื้อกับชาวบ้านกว่าเท่าตัวก็คงไม่น่าผิดปกติอะไรมากนัก แต่ที่ผิดปกติคือที่ดินแปลงทั้งหมดที่วุฒิชัยและชัยโรจน์เสนอขายนี้มาจากบริษัท ทาวน์ แอนด์ ซิตี้ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ที่มี นิธิกร บุญญามณี ลูกชายนิพนธ์ ถือหุ้นอยู่ 75% และ นิธิยา บุญญามณี ลูกสาวนิพนธ์ ถือหุ้นอยู่ 17% โดยวุฒิชัยและชัยโรจน์รับซื้อที่ดินมาในวันที่ 24 มกราคม 2563 ก่อนหน้าที่จะขายให้ TPIPP เพียง 4 วันเท่านั้น โดยรับซื้อมาในราคารวมกันประมาณ 78 ล้านบาท ผ่านไป 4 วัน ขายได้ 224 ล้านบาท ฟันส่วนต่างเน้นๆ 147 ล้านบาท
“วุฒิชัยและชัยโรจน์มีศักดิ์เป็นเครือญาติกับนิธิกรและนิธิยา เจ้าของบริษัท ทาวน์ แอนด์ ซิตี้ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด จึงชวนให้ตั้งข้อสงสัยว่า การออกแบบธุรกรรมแบบนี้เป็นการซื้อขายที่ดินอำพรางหรือไม่ ถามไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังว่า การกระทำแบบนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร และถาม พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี ว่าการที่เครือญาติรัฐมนตรีใน ครม. ของท่าน มีพฤติกรรมการซื้อขายที่ดินกับกลุ่มทุน โดยปกปิดอำพรางเช่นนี้ เป็นการกระทำที่เหมาะสมหรือไม่” ประเสริฐพงษ์กล่าวในที่สุด
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล