วันนี้ (27 ธันวาคม) ที่ทำเนียบรัฐบาล ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวถึงกรณี ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปราศรัยบนเวทีหาเสียงที่จังหวัดเชียงใหม่ว่า จะส่งคนไปดำเนินการจัดการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเพื่อนบ้านว่า ทักษิณพูดบนเวทีปราศรัยถือเป็นความปรารถนาดีที่ได้เล็งเห็นว่า ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาหนึ่งที่มีความจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข ซึ่งต้นตอของปัญหาส่วนหนึ่งอยู่ที่ประเทศเพื่อนหรือที่ปอยเปต
แก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ใช้พื้นที่ดังกล่าวเป็นหนึ่งในฐานปฏิบัติการ ซึ่งทุกคนทราบปัญหานี้ดีและต้องแก้ไข โดยกระทรวงดีอีและสำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังดำเนินการในเรื่องนี้ และความเป็นจริงเราพูดคุยกับประเทศกัมพูชาอยู่ตลอด รวมถึงมีการทำงานร่วมกันระหว่างฝ่ายปฏิบัติการและฝ่ายความมั่นคง ทั้งตำรวจ ทหาร กับกัมพูชา รวมถึงการทำงานร่วมกันของฝ่ายนโยบายคือกระทรวงดีอีที่พูดคุยกับทางกัมพูชาด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นดูเวลาและจังหวะที่เหมาะสมคงจะต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง
ส่วนที่ทักษิณพูดว่า จะเห็นผลการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ในปี 2568 นั้น ประเสริฐกล่าวว่า อยากเห็นผลในปีหน้า เพราะเรื่องเหล่านี้กัดกร่อนคนไทยมานาน และไปใช้ฐานที่มั่นในต่างประเทศ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีมาตรการอย่างใดอย่างหนึ่ง กระทรวงดีอีประสานกับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.), กรมสอบสวนคดีพิเศษ และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่มีการปราบปรามตามแนวตะเข็บชายแดนอยู่ตลอด โดยปัจจุบันมิจฉาชีพใช้ดาวเทียมแบบวงโคจรต่ำ เช่น Starlink ที่เข้าไปยิงสัญญาณอินเทอร์เน็ต ก็นับเป็นปัญหาเหมือนกัน แต่ก็มีการตามจับอยู่ ซึ่งไม่ต้องกลัวในเรื่องนี้ ส่วนเรื่องสายสัญญาณก็มีการตรวจสอบอยู่ตลอด ซึ่งตนพูดคุยกับ กสทช. และมีการปฏิบัติการทุกเดือน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลจะกดดันไปที่ธนาคารแห่งประเทศไทยในเรื่องการหน่วงเงินหรือไม่ ประเสริฐกล่าวว่า มีแนวทางอยู่ ซึ่งการหน่วงเงินเป็นเรื่องที่มีข้อเสนอมาจากหลายฝ่ายที่ต้องการให้เกิดขึ้น โดยตนจะนำเรื่องนี้ไปหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทยภายหลังจากที่รัฐบาลเสนอเป็นพระราชกำหนด
ตอนนี้ได้เสนอไปหลายเรื่อง ทั้งการดำเนินการทางธุรกรรมที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล การเพิ่มโทษ การเยียวยา และข้อสุดท้ายในกฎหมายดังกล่าวคือการให้ธนาคารพาณิชย์กับโอเปอเรเตอร์มีส่วนรับผิดชอบ แต่ต้องลงรายละเอียดเพิ่มเติม โดยต้องดูว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นเกิดจากระบบธนาคารไม่มีความปลอดภัยหรือประชาชนประมาท ซึ่งต้องดูเหตุและผลด้วย
ในปีหน้าก็จะได้เห็นแน่นอน ขณะนี้ร่างพระราชกำหนดดังกล่าวเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว แต่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยเสนอไปตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนและมีความตั้งใจให้บังคับใช้ได้ในเดือนมกราคม 2568 ซึ่งจะถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะเป็นเรื่องเร่งด่วน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ร่างพระราชกำหนดดังกล่าวกำหนดจำนวนเงินความเสียหายหรือไม่ ประเสริฐกล่าวว่า ไม่ได้ระบุเรื่องวงเงิน เพราะเป็นรายละเอียดปลีกย่อย โดยในกฎหมายต้องเขียนเรื่องหลักการก่อน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ใครจะเป็นผู้ชี้ขาดว่ากรณีไหนเกิดจากความประมาทของประชาชนหรือความหละหลวมของธนาคารนั้น ประเสริฐกล่าวว่า ในกรณีที่สถาบันการเงินกับบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดที่คณะกรรมการให้ไว้ก็ถือว่ามีความผิด เช่น ในการส่งข้อความ SMS ที่จะต้องระบุชื่อผู้ส่งให้ชัดเจนและต้องลงทะเบียนกับโอเปอเรเตอร์ หากไม่ปฏิบัติตามก็ไม่ต้องขึ้นศาลก็ได้ เพราะมีระเบียบกำหนดไว้อยู่แล้ว