ผลงานของหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าของไทยในปีนี้เรียกได้ว่าไม่สู้ดีนัก ด้วยมูลค่ารวมที่ลดลงไปราว 30% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาท โดยเฉพาะหุ้นอย่าง บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) และ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ที่มูลค่าลดลงไป 1.14 แสนล้านบาท และ 1.94 แสนล้านบาทตามลำดับ
THE STANDARD WEALTH ได้รวบรวมข้อมูลของหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) มากกว่า 2 หมื่นล้านบาท จำนวน 11 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 20 ธันวาคม 2566) พบว่ามูลค่าของแต่ละบริษัทต่างลดลงจากปลายปี 2565 โดยหลายบริษัทมีมูลค่าลดลงไปมากถึง 30-50%
จักรพงศ์ เชวงศรี ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าถูกกดดันจาก 2 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ 1. ผลการดำเนินงานที่อ่อนแอลง เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนเชื้อเพลิง ขณะเดียวกันค่า Ft ที่กำหนดจากภาครัฐก็ไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เนื่องจากรัฐบาลต้องการตรึงราคาค่าไฟฟ้า และ 2. อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นกดดันให้มูลค่าหุ้นลดลง เนื่องจากธุรกิจโรงไฟฟ้าเป็นธุรกิจที่มีกระแสเงินสดค่อนข้างคงที่ เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ทำให้อัตราคิดลด (Discount Rate) สูงขึ้น
“ทั้งสองปัจจัยทำให้มูลค่าหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาจะเห็นว่าราคาหุ้นกลุ่มนี้เริ่มฟื้นตัวได้บ้าง เนื่องจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยน่าจะผ่านจุดพีคไปแล้ว แต่ประเด็นที่ยังต้องติดตามคือ นโยบายของภาครัฐเกี่ยวกับเรื่องค่าไฟฟ้า”
ล่าสุด รัฐบาลอยู่ระหว่างการพิจารณาค่าไฟฟ้างวดใหม่สำหรับเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ซึ่งมีความต้องการจะกำหนดไม่ให้เกิน 4.2 บาทต่อหน่วย ขณะที่นายกรัฐมนตรีต้องการจะกำหนดให้ไม่เกิน 4.1 บาทต่อหน่วย
จักรพงศ์กล่าวเพิ่มเติมว่า ค่าไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นจาก 3.99 บาทต่อหน่วย เป็น 4.2 บาทต่อหน่วย ต้องพิจารณาร่วมกับต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติว่าจะเพิ่มขึ้นเท่าใด หากค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นไม่สามารถชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ ปัจจัยดังกล่าวจะยังเป็นแรงกดดันต่อหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าต่อไป
อย่างไรก็ตาม จุดที่แย่ที่สุดของหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าน่าจะผ่านไปแล้ว จากอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มจะปรับลงในปีหน้า ขณะที่ต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่เคยพุ่งขึ้นไปถึง 50 ดอลลาร์ต่อตัน ปัจจุบันก็ลดลงมาเหลือ 12-13 ดอลลาร์ต่อตัน