เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงิน (Dovish) อย่างชัดเจนในสุนทรพจน์เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (22 สิงหาคม) ส่งผลให้เกิดแรงซื้อกลับเข้ามาอย่างมหาศาลในสินทรัพย์ทั่วทั้งตลาด
คำกล่าวของพาวเวลได้กระตุ้นให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นแรงสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรดิ่งลง พร้อมกับเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง
ในสุนทรพจน์ ณ การประชุมสัมมนาประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสันโฮล รัฐไวโอมิง พาวเวลได้กล่าวถึงประโยคสำคัญที่ตลาดตีความว่าเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงนโยบายว่า “สมดุลของความเสี่ยงที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป อาจรับประกันได้ว่าถึงเวลาที่ต้องปรับเปลี่ยนจุดยืนนโยบายของเรา”
คำกล่าวนี้ส่งผลให้ตลาดตอบรับทางบวกในทันที โดยดัชนี S&P 500 ฟื้นตัวจากการร่วงลงติดต่อกัน 5 วัน โดยพุ่งขึ้น 1.5% ปิดตลาดใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ดัชนี Russell 2000 ซึ่งประกอบด้วยหุ้นขนาดเล็กที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย ทะยานขึ้นเกือบ 4%
ขณะที่ตลาดพันธบัตรมีแรงซื้อเข้ามาอย่างหนาแน่น กดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 2 ปี ดิ่งลงมากถึง 0.12% พร้อมกับสินทรัพย์เสี่ยงอย่าง Bitcoin และทองคำที่เพิ่มขึ้นราว 1% ส่วนค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง
แมตต์ มาลีย์ หัวหน้านักกลยุทธ์การตลาดของ Miller Tabak + Co LLC กล่าวว่า “นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญสำหรับเฟด คำถามสำหรับตลาดในตอนนี้คือ ความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจะทำให้ผลประกอบการลดลงหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คือเฟดจะไม่สร้างแรงต้านที่สำคัญต่อนักลงทุนอีกต่อไป”
ก่อนหน้านี้ ตลอดเดือนสิงหาคมตลาดการเงินได้เดิมพันอย่างหนักว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ขับเคลื่อนให้ตลาดหุ้นทำสถิติสูงสุดใหม่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แม้จะมีความกังวลเรื่องสงครามการค้าของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และความกังวลว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จะร้อนแรงเกินไปก็ตาม
แต่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ตลาดเริ่มเกิดความลังเลและปรับตัวลดลงติดต่อกัน 5 วัน หลังจากเจ้าหน้าที่เฟดบางคนออกมาเตือนว่าการลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายนยังไม่แน่นอน ประกอบกับตัวเลขเงินเฟ้อภาคการผลิตของเดือนกรกฎาคมที่พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 3 ปี ได้จุดประกายความกลัวเรื่องภาวะ Stagflation หรือภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวแต่เงินเฟ้อสูง
สรุปคำพูดสำคัญของ เจอโรม พาวเวล
หัวใจสำคัญของสุนทรพจน์ครั้งนี้คือการที่พาวเวลยอมรับถึงสภาวะที่เปลี่ยนแปลงไปของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
“เสถียรภาพของอัตราการว่างงานและมาตรวัดตลาดแรงงานอื่นๆ ทำให้เราสามารถดำเนินการได้อย่างระมัดระวังในการพิจารณาเปลี่ยนแปลงจุดยืนนโยบายของเรา” พาวเวลกล่าว “อย่างไรก็ตาม ด้วยนโยบายที่อยู่ในระดับที่เข้มงวด แนวโน้มพื้นฐานและสมดุลของความเสี่ยงที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป อาจรับประกันได้ว่าถึงเวลาที่ต้องปรับเปลี่ยนจุดยืนนโยบายของเรา”
พาวเวลอธิบายว่า ตลาดแรงงานกำลังอยู่ใน “สภาวะสมดุลที่น่าสนใจ” ซึ่งเป็นผลมาจากการชะลอตัวลงอย่างชัดเจนของทั้งอุปทานและอุปสงค์แรงงาน โดยเขาได้อ้างถึงข้อมูลการจ้างงานเดือนกรกฎาคมที่แสดงให้เห็นว่าการเติบโตของตำแหน่งงานในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาอ่อนแอกว่าที่เคยรายงานไว้มาก
“สถานการณ์ที่ไม่ปกตินี้ชี้ให้เห็นว่าความเสี่ยงด้านขาลงต่อการจ้างงานกำลังเพิ่มสูงขึ้น หากความเสี่ยงเหล่านั้นเกิดขึ้นจริง มันสามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วในรูปแบบของการเลิกจ้างที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและอัตราการว่างงานที่สูงขึ้น”
อย่างไรก็ตาม เขายังคงย้ำว่าผู้กำหนดนโยบายต้องระมัดระวังต่อแนวโน้มที่กำแพงภาษีของทรัมป์อาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อ แม้จะคาดว่าผลกระทบต่อราคาผู้บริโภคจะเป็นเพียงช่วงสั้นๆ ก็ตาม
อ้างอิง: