สถานีโทรทัศน์ CNBC รายงานว่า สองผู้กุมบังเหียนเศรษฐกิจสหรัฐฯ คือ เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลัง กับ เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประสานเสียงยอมรับระหว่างขึ้นให้การ และตอบข้อซักถามของคณะกรรมาธิการบริการการเงินของสภาผู้แทนราษฎร ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เกิดการเก็งกำไรในตลาดการเงิน แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่รับได้
โดยทั้งสองต่างแสดงความเชื่อมั่นว่า ภาคการเงินของประเทศมีเสถียรภาพมั่นคงดีในระหว่างที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งสัญญาณฟื้นตัวจากการระบาดของโควิด-19
ขณะเดียวกัน ทั้งสองต่างเห็นตรงกันว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯ สามารถฟื้นตัวขึ้นอย่างมาก ภายใต้ความร่วมมือระหว่างสภา กระทรวงการคลัง และเฟด กระนั้น เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงอยู่ห่างไกลจากคำว่า ‘ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์’
สำหรับการขึ้นให้การครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ และความสำคัญของการใช้นโยบายทางการเงินและการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
โดยเยลเลนวัย 74 ปี มุ่งเน้นไปที่บทบาทหน้าที่ของกระทรวงการคลังในการสนับสนุนการทำงานฟื้นฟูกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลประธานาธิบดีไบเดน ซึ่งประเด็นที่คลังมุ่งให้ความสนใจในขณะนี้ก็คือ การกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อฟื้นฟูตลาดแรงงาน ก่อนที่จะผลักดันให้รัฐบาลหาทางเพิ่มรายได้ด้วยการปฏิรูปภาษี นอกเหนือไปจากการลดกฎระเบียบทางราชการ รวมทั้งข้อกำหนดทางด้านเอกสาร เพื่อให้กระทรวงทำงานได้คล่องตัวมากขึ้น
รัฐมนตรีคลังเยลเลนกล่าวว่า โครงการลงทุนเพื่อก่อสร้างโครงสร้างสาธารณูปโภคนั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในขณะนี้ เพื่อสร้างประสิทธิภาพและความสามารถทางการแข่งขัน แต่ก็ต้องมาพร้อมกับการเพิ่มรายได้ของรัฐบาลเพื่อชดเชยรายจ่ายดังกล่าวด้วย
ปัจจุบันรัฐบาลสหรัฐฯ จัดมาตรการหั่นลดภาษี สินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษ และเงินชดเชยมูลค่า 6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อกู้วิกฤตเศรษฐกิจจากโควิด-19
ด้านพาวเวลล์ ประธานเฟดวัย 68 ปี ขึ้นให้การไปในทิศทางเดียวกันกับเยลเลน แต่เน้นไปที่ประเด็นการเงินด้านอัตราเงินเฟ้อของประเทศ โดยแม้จะมีการคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ จะสูงขึ้นภายในปีนี้ แต่ก็ไม่มากนัก และยังอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ พร้อมย้ำว่าความเสี่ยงเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังอยู่ในระดับต่ำ
โดยพาวเวลล์กล่าวว่า เงินเฟ้อมีแนวโน้มจะขยับปรับขึ้นในปีนี้ แต่การปรับขึ้นดังกล่าวไม่ได้มากมาย และไม่มีผลในระยะยาว และหากเกิดปัญหาขึ้นจริง ธนาคารกลางก็มีเครื่องมือพร้อมที่จะรับมือ
นอกจากนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ เชื่อว่า การเติบโตของตลาดแรงงานจะเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า เมื่อประชาชนเริ่มกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ และภาคธุรกิจต่างๆ เริ่มกลับมาเปิดบริการได้อีกครั้ง
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: