เช้าวันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม เป็นวันที่หลายคนเดินทางไปทำงานตามหาเป้าหมายหรือความฝัน มีหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังร้องไห้ต่อหน้าสื่อมวลชนชาวไทย ถึงการตัดสินใจลาออกจากงานที่เธอกำลังจะทำในช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่งเป็นงานที่สำคัญมากของประเทศไทย เพราะเธอขอลาออกจากการเป็นนักกีฬาทีมชาติไทยในศึกซีเกมส์ 2025 ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในเดือนธันวาคมนี้
หมิว-พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ คือหนึ่งในนักกีฬาที่มีรายชื่อเตรียมพร้อมไปแข่งขันซีเกมส์ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งก่อนที่เธอจะเดินทางมาตัดสินใจขอถอนตัว มีประเด็นใหญ่เกิดขึ้นกับแบดมินตันทีมชาติไทย โดยเฉพาะเหตุผลที่ไม่ได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสมจากสมาคมฯ
เกิดอะไรขึ้นกับดราม่า แบดมินตันไทย?
ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา วงการกีฬาไทยต้องเผชิญแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่จากกรณีที่นักกีฬาแบดมินตันทีมชาติไทยจำนวนมาก ถูกลดเบี้ยเลี้ยงในการแข่งขันซีเกมส์ 2025 อย่างไม่เป็นธรรม เบี้ยเลี้ยงที่ควรได้รับราว 60,300 บาท กลับเหลือเพียง 6,000-40,000 บาทในบางกรณี
โดยรายงานระบุว่า ต้นเหตุหลักมาจากระบบของ สมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย ที่หักเบี้ยเลี้ยงจากนักกีฬาที่ไม่ได้เข้าสอบสมรรถภาพร่างกาย แม้ว่าสาเหตุจะมาจากตารางแข่งระดับนานาชาติที่ชนกัน หรือการฝึกซ้อมต่อเนื่อง
ขณะที่ โค้ชท็อป-ภควัฒน์ วิไลลักษณ์ อดีตนักแบดมินตันทีมชาติไทย ได้ออกมาเปิดเผยว่า นักกีฬาระดับท็อปอย่าง “วิว กุลวุฒิ” และ “เมย์ รัชนก” ต่างได้รับผลกระทบ รวมถึง “หมิว พรปวีณ์” ที่ตัดสินใจลาออกจากทีมชาติ พร้อมทั้งเรียกร้องความเป็นธรรมและความเคารพต่อศักดิ์ศรีของนักกีฬาที่ทุ่มเทต่อการรับใช้ชาติ
พร้อมย้ำให้เห็นว่า ปัญหาเรื่องเบี้ยเลี้ยงนักกีฬามีการพูดคุยภายในทีมมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว แต่สิ่งที่นักกีฬาต้องการไม่ใช่เรื่องตัวเงิน หากแต่เป็นความใส่ใจและความเข้าใจจากสมาคมฯ
สิ่งที่หมิวและนักกีฬาทุกคนอยากได้ คือการดูแลอย่างจริงใจ ไม่ใช่ปล่อยให้พวกเขาแก้ปัญหาเอง ทั้งที่เล่นเพื่อประเทศชาติ โดยที่ผ่านมา หมิวได้สละสิทธิ์จากรายการใหญ่ทั้งในออสเตรเลียและจีน เพื่อโฟกัสซีเกมส์ แต่สุดท้ายกลับไม่ได้รับการสนับสนุนที่ชัดเจนจากสมาคมฯ จึงเกิดเป็นความรู้สึกผิดหวังมาก
เสียงจาก ‘หมิว’ ถึงสมาคมฯ กับความคาดหวังที่อยากให้ดูแลนักกีฬาดีกว่านี้
กรณีของ หมิว-พรปวีณ์ ที่ยื่นหนังสือลาออกจากทีมชาติไทย ชุดลุยศึกซีเกมส์ 2025 ด้วยเหตุผลเรื่องการไม่ได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสมจากสมาคมฯ กำลังกลายเป็นเสียงสะท้อนครั้งใหญ่ของวงการกีฬาไทย
พรปวีณ์เปิดเผยว่า เหตุผลหลักมาจากความไม่เป็นระบบในการดูแลนักกีฬา โดยเฉพาะนักกีฬาที่ไม่ได้อยู่ในสังกัดโดยตรงของสมาคมฯ ซึ่งต้องจัดการปัญหาต่างๆ ด้วยตัวเองแทบทุกเรื่อง
“หมิวอยู่กับสโมสรที่ไม่ได้สังกัดโดยตรงกับสมาคมฯ ทำให้ไม่ได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ หลายเรื่องสะสมมานาน จนหมิวรู้สึกว่าไม่สามารถร่วมงานกับสมาคมชุดนี้ได้อีกต่อไป”
เธอเผยว่า ตลอดการเตรียมตัวแข่งซีเกมส์ที่ผ่านมา ทั้งเธอและโค้ชต้องออกค่าใช้จ่ายในการฝึกซ้อมและเดินทางเองเกือบทั้งหมด อีกทั้งยังเจอปัญหาการสื่อสารจากฝ่ายพัฒนากีฬา ที่ไม่แจ้งกำหนดการทดสอบสมรรถภาพร่างกายล่วงหน้า ทำให้นักกีฬาบางรายถูกหักเงิน ทั้งที่ติดภารกิจแข่งขันต่างประเทศ
“นักกีฬาแบดมินตันแข่งแทบทุกสัปดาห์ แต่สมาคมฯ ไม่เคยประสานกับ กกท. ว่ามีภาระการแข่งขัน ทำให้บางคนถูกหักเงินเพราะไม่ได้มาทดสอบ ทั้งที่ไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้าเลย”
ด้วยเหตุนี้ พรปวีณ์ย้ำว่า ไม่ได้มีปัญหากับการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) หรือเงินสนับสนุนโดยตรง แต่ผิดหวังกับฝ่ายพัฒนากีฬาที่ไม่ให้ความสำคัญกับนักกีฬานอกสังกัดสมาคม
“หมิวอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงค่ะ ถ้าวงการยังเป็นแบบนี้ เด็ก ๆ เยาวชนจะเติบโตได้ยาก หมิวไม่ติดเรื่องเบี้ยเลี้ยงเลย และยินดีคืนเงินทั้งหมด แต่ขอให้สมาคมเห็นใจนักกีฬามากกว่านี้”
ถึงเวลาที่ ‘ผู้ใหญ่’ จะต้องทำเพื่อนักกีฬา อย่างที่นักกีฬาทำเพื่อประเทศ
อุดมศักดิ์ ชื่นครุฑ เลขาธิการสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทยฯ ในฐานะผู้แทนรับหนังสือ ยืนยันว่าสมาคมฯ รับทราบปัญหาที่เกิดขึ้น และจะเร่งประชุมร่วมกับทุกฝ่ายเพื่อหาทางออกโดยเร็วที่สุด โดยตั้งเป้าให้ หมิว-พรปวีณ์ กลับมาเป็นหนึ่งในทีมชาติไทยชุดลุยซีเกมส์ปลายปีนี้อีกครั้ง เพราะด้วยดีกรีของเธอในเวลานี้ คือมือ 1 ของไทย และมือ 6 ของโลก
อย่างไรก็ตาม จากสายตาแฟนกีฬา สิ่งที่ทุกคนอยากเห็นไม่ใช่แค่การคืนทีมชาติของหมิว แต่คือ “การคืนศรัทธา” ให้ระบบกีฬาไทยทั้งหมด
นักกีฬาที่เสียสละทั้งเวลา แรงกาย หยาดเหงื่อ และเสี่ยงอาการบาดเจ็บเพื่อความภูมิใจของชาวไทย ควรได้รับการดูแลอย่างที่สมควรได้รับ
และหวังว่า เสียงของหมิวในวันนี้จะสะท้อนไปถึงผู้ที่มีอำนาจ ว่าถึงเวลาที่จะเปลี่ยนแปลงระบบนี้ให้เกิดประโยชน์ต่อนักกีฬาแบบที่ควรจะเป็นได้หรือยัง?


