ศิลาอาถรรพ์และห้องแห่งความลับ นับเป็นภาพยนตร์ 2 ภาคแรกที่เปิดฉากมหากาพย์แฟรนไชส์ระดับตำนานอย่าง Harry Potter ได้อย่างสวยงาม ด้วยการพาผู้ชมไปสำรวจโลกแห่งเวทมนตร์และการผจญภัยของพ่อมดน้อยแฮร์รีกับผองเพื่อน จนกระทั่งการกลับมาใน Harry Potter and the Prisoner of Azkaban เมื่อแฮร์รีไม่ใช่พ่อมดน้อยอีกต่อไป แต่เริ่มก้าวสู่ความเป็นวัยรุ่น บวกโทนเรื่องที่ค่อยๆ เปลี่ยนจากความแฟนตาซีตื่นตามาเป็นเนื้อหาที่สลับซับซ้อนมากขึ้น Harry Potter ภาค 3 นี้จึงเป็นที่รู้จักดีในฐานะจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของแฟรนไชส์
ภาพยนตร์เข้าฉายเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2004 นับเป็นภาคที่มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ตั้งแต่ผู้กำกับ ซึ่งเปลี่ยนมาเป็น อัลฟอนโซ กัวรอน ผู้กำกับฝีมือเทพเจ้าของผลงานคุณภาพอย่าง Children of Men (2006) และ Gravity (2013) รวมทั้งนักแสดงหน้าใหม่ ซึ่งตบเท้าเข้ามาสวมบทบาทสำคัญอย่าง ไมเคิล แกมบอน ที่มารับบท อัลบัส ดัมเบิลดอร์ แทน ริชาร์ด แฮร์ริส ซึ่งเสียชีวิตไปในปี 2002, แกรี โอลด์แมน รับบท ซีเรียส แบล็ก, เดวิด ธิวลิส รับบท รีมัส ลูปิน และเอ็มมา ทอมป์สัน รับบท ซีบิลล์ ทรีลอว์นีย์ พร้อมนักแสดงคุ้นเคยอย่าง แดเนียล แรดคลิฟฟ์ ในบท แฮร์รี, รูเพิร์ต กรินต์ ในบท รอน และเอ็มมา วัตสัน ในบท เฮอร์ไมโอนี
หนังทำรายได้ไป 796.9 ล้านเหรียญสหรัฐ จากทุนสร้าง 130 ล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมยังได้รับคำชมหนาหูจากสำนักต่างๆ ที่ชื่นชอบสไตล์และทิศทางการกำกับของกัวรอน ซึ่งทำให้โทนของ Harry Potter ดาร์กและล้ำลึกมากยิ่งขึ้น โดยทำคะแนนบนเว็บไซต์ Rotten Tomatos ไปได้ 90% ซึ่งนับว่าสูงที่สุดเป็นลำดับ 2 ของแฟรนไชส์รองจาก Harry Potter and the Deathly Hollows Part 2
ในภาคนี้จะโฟกัสไปที่ช่วงชีวิตปี 3 ของแฮร์รีและเพื่อนๆ ที่ฮอกวอตส์ ซึ่งนอกจากความตื่นเต้นในวิชาเรียนใหม่ๆ แล้ว แฮร์รียังต้องรับมือกับภัยคุกคามครั้งใหม่จาก ซีเรียส แบล็ก นักโทษอดีตลูกน้องคนสำคัญของลอร์ดโวลเดอมอร์ ผู้เพิ่งแหกคุกที่แน่นหนาที่สุดอย่างอัซคาบันหวังมาเพื่อสังหารเขา ก่อนที่แฮร์รีจะสืบรู้ถึงเบื้องลึกเบื้องหลังบางอย่างอันน่าสะเทือนใจระหว่างตัวเขากับแบล็ก
ภาพ: Warner Bros.