And the Oscar Goes to…The Artist.
เสียงปรบมือดังลั่นงานประกาศรางวัล Academy Awards หรือ Oscars ครั้งที่ 84 ให้กับอีกหนึ่งโมเมนต์แห่งประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์ เมื่อรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่ขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้นในปีนั้นตกเป็นของ The Artist ภาพยนตร์ขาวดำ จากประเทศฝรั่งเศส และกลายเป็นภาพยนตร์เงียบเรื่องที่ 2 ต่อจาก Wings ในปี 1927 ที่มาถึงจุดนี้ได้สำเร็จ
The Artist บอกเล่าเรื่องราวในปี 1927-1932 ซึ่งเป็นยุคที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ในฮอลลีวูด กำลังมาถึงจุดเปลี่ยนผ่านจากการสร้างภาพยนตร์เงียบไปสู่การบันทึกเสียงลงแผ่นฟิล์มได้
โดยโฟกัสไปที่ จอร์จ วาเลนติน ซูเปอร์สตาร์แห่งยุคภาพยนตร์เงียบ ตีคู่ไปกับเรื่องราวของ เปปเปอร์ มิลเลอร์ นักแสดงสาวหน้าใหม่ผู้มีจอร์จเป็นแรงบันดาลใจ โดยในขณะที่ชีวิตใต้สปอตไลต์ของเปปเปอร์กำลังเฉิดฉาย กระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงก็กำลังทำให้ชีวิตการงานของจอร์จ ถดถอยลงทุกที
นอกจากความยอดเยี่ยมในการสื่อสารโดยไร้บทพูด ที่ทำให้ย้อนระลึกถึงฮอลลีวูดยุคบุกเบิกแล้ว The Artist ยังได้รับคำชมอย่างมากในทุกองค์ประกอบของความเป็นภาพยนตร์ ไล่เรียงไปตั้งแต่การกำกับอันมีชีวิตชีวาของ มิเชล ฮาซานาวิเซียส การแสดงอันโดดเด่นของ ฌอง ดูฌาร์แดง ซึ่งเข้าคู่ได้ดีกับ เบเคนิซ บีโจ
พร้อมกับเทคนิคงานสร้างทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น การถ่ายภาพ ตัดต่อ เครื่องแต่งกาย กำกับศิลป์ หรือดนตรีประกอบ ที่มีส่วนสำคัญอย่างมากในการขับเคลื่อนอารมณ์ของภาพยนตร์ที่ไม่มีบทพูดเลยให้คนดูมีอารมณ์ร่วมสูงสุด พร้อมยังมีซีนคลาสสิกอีกมากมาย อาทิ ฉาก Tap Dance ซึ่งกลายเป็นฉากในตำนานของผู้ชมหลายๆ คน
The Artist ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มากถึง 10 สาขา และคว้ามาได้ 5 รางวัลในสาขาดนตรีประกอบยอดเยี่ยม, ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (ดูฌาร์แดง), ผู้กำกับยอดเยี่ยม (ฮาซานาวิเซียส) และรางวัลใหญ่สุดของค่ำคืนอย่างภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และสามารถทำรายได้จากทั่วโลกมากถึง 133.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากทุนสร้างเพียงแค่ 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
