วันนี้ (30 ตุลาคม) แสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. แถลงต่อสื่อมวลชนประเด็น การเตรียมการเลือกตั้งและการทำประชามติ โดยระบุว่า การเลือกตั้ง สส. ในวันเดียวกับการจัดทำประชามติ หากเกิดขึ้นก็จะเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่มีการจัดพร้อมกัน
ประเด็นสำคัญ
ส่วนจะเป็นวันไหนนั้น สำนักงาน กกต. คงตอบไม่ได้ ตอบได้เพียงว่า เรามีความพร้อม จะเกิดขึ้นวันไหน เราเป็นปลายทาง เพราะเหตุแห่งการให้เกิดประชามติเกิดจากหน่วยงานอื่น คือ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ส่งเรื่องมา แต่บางเรื่องก็เริ่มที่รัฐสภา อย่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งครั้งนี้ถ้าดูตามสถานการณ์ ถ้าเป็นปลายเปิด จะไม่มีปัญหาในการจัดการเลย แต่ถ้าเป็นปลายปิด คือวันเลือกตั้งเหมือนถูกกำหนดไว้แล้ว เราต้องนับย้อนขึ้นมา เพราะมีกิจกรรมที่กำหนดไว้ว่าต้องทำอะไรบ้าง
ถ้ายึดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ฉบับใหม่ สำนักงาน กกต. จะมีเวลาดำเนินการไม่น้อยกว่า 60 วัน และไม่เกิน 150 วัน ถ้าบริหารจัดการไม่ดี เวลาจะเหลื่อมกันไปทันที วันเลือกตั้งและวันทำประชามติจะไม่ตรงกัน แต่เมื่อยึดตาม MOA ผู้ริเริ่มแก้ไขรัฐธรรมนูญคือรัฐสภา และ ครม. ต้องเป็นผู้ส่งเรื่องให้ กกต.
“ถ้าดูตามข่าว เราคงเข้าใจตรงกันว่าเป็นสถานการณ์ปลายปิด วันเลือกตั้งเหมือนถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะผู้มีอำนาจได้ประกาศเจตนารมณ์ไว้ล่วงหน้า อีกประมาณ 5 เดือน รัฐสภาจะมีเวลาเท่าไรในการจัดทำประเด็นเพื่อถามประชามติ ส่งให้ ครม. แล้ว ครม. จึงส่งให้ กกต. ตอนนี้จึงยังบอกไม่ได้ว่า จะเป็นไปตามกรอบเวลาหรือไม่” แสวงกล่าว
แสวงระบุว่า ในทางการจัดการ ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ฉบับเดิม จะไม่สามารถใช้หน่วยเลือกตั้งของการเลือกตั้งและการทำประชามติเดียวกันได้ แต่ใน พ.ร.บ. ใหม่ สามารถทำในหน่วยเลือกตั้งเดียวกันได้ ยืนยันว่า ไม่ว่าจะมีการเลือกตั้งและจัดทำประชามติในวันไหน สำนักงาน กกต. มีความพร้อมดำเนินการ
กกต. ขอเวลา 75 วัน ดำเนินการต่อจากรัฐสภา-รัฐบาล
แสวงกล่าวว่า ถ้ามีการจัดประชามติและการเลือกตั้งวันเดียวกัน และในหน่วยเลือกตั้งเดียวกัน ตาม พ.ร.บ. ใหม่ สามารถทำได้ โดยให้รัฐสภา และ กกต. มีเวลาในการทำงานได้ตามสมควร เช่น กกต. จะขอเวลา 75 วันอย่างน้อย ที่เชื่อว่าจะทำงานได้เรียบร้อย ไม่ใช่เพียงการบริหารจัดการ แต่คือการสื่อสารข้อมูลให้ประชาชนรู้และเข้าใจ ตามด้วยการเปิดเวทีให้ฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยได้แสดงความเห็น จึงต้องมีระยะเวลาในเรื่องนี้พอสมควร
ทั้งนี้ ระยะเวลา 75 วันดังกล่าว จะเริ่มตั้งแต่วันที่รัฐสภาจัดทำเอกสารข้อมูลเกี่ยวกับการทำประชามติเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเรื่อง MOU43 และ 44 มาให้ กกต. จัดพิมพ์ จนถึงวันเสร็จสิ้นกระบวนการก่อนวันเลือกตั้งและออกเสียงประชามติ
อย่างไรก็ตาม ทั้งเรื่อง MOU และเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็มีความซับซ้อน โดยผู้จัดทำข้อมูลเป็นหนังสือส่งไปตามบ้านของประชาชนได้ศึกษาก่อน คือรัฐสภา แต่เราก็ไม่ทราบว่า ผู้จัดทำจะส่งมากี่หน้า จึงได้ร้องขอว่า ให้เพียงพอกับประชาชนสามารถเข้าใจได้ ซึ่งการดำเนินการเรื่องนี้ก็จะอยู่ใน 75 วันดังกล่าว
แสวงย้ำว่า หลักการของการเลือกตั้งคือ Free and Fair อิสระเสรี และเป็นธรรมโปร่งใส ส่วนหลักในการทำประชามติ คือ ไม่ชี้นำ เสมอภาค เป็นธรรม ซึ่งเป็นหลักสากลใช้กันทั่วโลก ดังนั้น ผู้จัดทำเอกสารในการจัดทำประชามติคือรัฐสภาหรือรัฐบาล ต้องให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน ไม่ชี้นำ ให้ประชาชนได้รู้และเข้าใจในหัวข้อของการจัดทำประชามติ จัดส่งให้สำนักงาน กกต. จัดพิมพ์เพื่อส่งให้ประชาชนศึกษาล่วงหน้า จากนั้น สำนักงาน กกต. จะมีการจัดเวทีให้แสดงความคิดเห็นตามสื่อต่างๆ ระหว่างผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ซึ่งเป็นไปตามหลักของความเสมอภาค
แจงงบประมาณ 90% ใช้จ่ายกับหน่วยเลือกตั้ง เหตุงานหนักกว่าเดิม
สำหรับงบประมาณ สำนักงาน กกต. ใช้จ่ายงบประมาณตามหลักการและกฎหมายคือ ความโปร่งใส และอำนวยความสะดวก สาเหตุที่งบประมาณสูง คือใช้จ่ายหน่วยเลือกตั้งละ 1 แสนบาท เพราะผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพิ่มขึ้น ต้องใช้กรรมการประจำหน่วย (กปน.) ของการเลือกตั้ง 10 คน และ กปน. ของการทำประชามติ เพิ่มมาอีก 4 คน จึงบอกได้ว่า งบประมาณ 90% ใช้กับหน่วยเลือกตั้ง ที่มีทั้งหมดจำนวน 120,000 หน่วยเลือกตั้ง
ส่วนการออกแบบหน่วยเลือกตั้งเพื่อขานคะแนนให้จบโดยเร็ว ก็อาจต้องมีการเพิ่มเต็นท์ ขยายขนาดหน่วยเลือกตั้ง จำนวน กปน. จำนวนหีบเลือกตั้ง และจำนวนบัตรเลือกตั้งก็ต้องเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ กปน. ที่ทำงาน 17 ชั่วโมง ไม่มีเวลาพักผ่อน และต้องรับแรงเสียดทานจากการปฏิบัติหน้าที่ กกต. เห็นถึงความยากลำบาก จึงจะเพิ่มค่าแรงให้ กปน. ซึ่งถือเป็นครั้งแรก โดยส่วนตัวก็คิดว่าสมเหตุสมผลกับความเหนื่อยยาก
“ดังนั้น งบประมาณ 90% กล่าวคือ เงิน 100 บาท จะลงไปที่หน่วยเลือกตั้ง 90 บาท สำนักงาน กกต. ไม่ได้จับเงินหรอกครับ ส่วนที่เหลือก็จะลงไปที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ ที่ต้องมีการส่งบัตรสำหรับการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร และนับคะแนนประชามติที่หน่วยเลือกตั้งในประเทศนั้นๆ และต้องส่งบัตรเลือกตั้ง สส. กลับมานับที่ประเทศไทยด้วย ถือว่ายากขึ้นสำหรับกระทรวงการต่างประเทศ” แสวงกล่าว
ต้องนับคะแนนแยกกันเป็น 6 กระดาน
แสวงมองว่า การจัดเลือกตั้งพร้อมการทำประชามติจะเป็นทั้งการประหยัดงบประมาณ เป็นความสะดวกของประชาชน และอาจเป็นความชอบธรรมด้วย เพราะในการเลือกตั้ง สส. จะเป็นวันที่ประชาชนมาใช้สิทธิมากขึ้น ก็เป็นผลพลอยได้ให้การทำประชามติได้ฟังเสียงจากประชาชนจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมีรายละเอียดอื่นๆ เช่น จำนวนบัตรเลือกตั้ง ที่หัวข้อประชามติ 2 เรื่อง สามารถรวมในบัตรใบเดียวกันได้ แต่จำนวนกระดานนับคะแนนต้องมีเท่าจำนวนคำถามประชามติ ซึ่งถ้ารวมกับการเลือกตั้ง สส. ก็คือต้องมี 6 กระดาน พร้อมย้ำว่า การใช้งบประมาณเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดไว้
สำหรับการรายงานผลนับคะแนนนั้น ครั้งนี้สำนักงาน กกต. พยายามทำอย่างเต็มที่ แต่ 1 ชั่วโมงแรกหลังปิดหีบจะยังไม่มีรายงานผลคะแนน เพราะเป็นช่วงตรวจสอบความถูกต้องของบัตร แต่หากหน่วยเลือกตั้งใดทำได้ดีอาจจะรายงานผลได้เร็ว ซึ่งระบบการรายงานผลนั้นมีประสิทธิภาพ แต่ความเร็วขึ้นอยู่กับแต่ละหน่วยเลือกตั้ง จึงเป็นเรื่องที่ต้องบริหารจัดการหน่วยเลือกตั้งให้ได้ โดยการแสดงผลจะแบ่งออกเป็น 6 กระดาน ตามการเลือกตั้ง สส. และคำถามประชามติ หากทำได้ดี ไม่เกิน 23.00 น. จะจบทุกกระดาน
ทั้งนี้ ในการจัดทำประชามติ จะไม่มีการทำประชามติล่วงหน้า แต่สามารถลงทะเบียนทำประชามตินอกเขตเลือกตั้งได้ เพียงแต่ต้องใช้สิทธิออกเสียงประชามติในวันเดียวกับวันเลือกตั้ง สส. เท่านั้น ซึ่งอาจจะมีขั้นตอนดำเนินการเพิ่มเติมว่า ในวันเลือกตั้ง สส. อาจมีทั้งผู้ประสงค์จะใช้สิทธิเลือกตั้งพร้อมกับทำประชามติ และอาจมีทั้งผู้ประสงค์ทำประชามติอย่างเดียว เนื่องจากได้ใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าแล้ว


