วันนี้ (22 ตุลาคม) พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีปรากฏคลิปนายตำรวจยศพันตำรวจเอกขึ้นเวทีของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด โดยมีลักษณะพูดชักชวนให้ร่วมลงทุน โน้มน้าวประชาชนที่มาเข้าฟัง และวิพากษ์วิจารณ์สวัสดิการของข้าราชการตำรวจที่ไม่ดีจึงทำให้ต้องเลือกทำธุรกิจดิไอคอนกรุ๊ป
พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ ระบุว่า ตนเองสั่งการไปตั้งแต่ช่วงเช้าผ่าน พล.ต.ท. อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ว่าเรื่องดังกล่าวต้องแยกตรวจสอบเป็น 2 ประเด็น ประเด็นที่ 1 คือ ตรวจสอบเรื่องนายตำรวจที่ออกมาทำลักษณะเป็นโค้ชพูดชักชวนเช่นนี้ ให้เรียกมาสอบปากคำภายในวันนี้ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ว่ามีพฤติกรรมและรายละเอียดเป็นอย่างไร
โดยตนเองให้หลักการว่าจะไม่มีการช่วยเหลือในฐานะตำรวจ หากพบพฤติกรรมใดๆ ที่เข้าข่ายลักษณะความผิดทั้งการฉ้อโกงประชาชน หรือ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งให้ดำเนินการทั้งทางวินัยและอาญาได้ทันที
ในประเด็นที่ 2 ที่ต้องตรวจสอบคือ การแต่งเครื่องแบบตำรวจไปทำพฤติการณ์เช่นนั้นสามารถทำได้หรือไม่และใช้เวลาราชการไปทำหรือไม่ ในการตรวจสอบส่วนนี้ได้สั่งจเรตำรวจแห่งชาติตรวจสอบความผิดทางวินัยโดยเฉพาะ และกำชับให้รายงานผลสอบเป็นลายลักษณ์อักษรกลับมาที่ตนเองภายในระยะเวลา 2 วันนับตั้งแต่วันนี้
การที่พันตำรวจเอกนายนี้วิพากษ์วิจารณ์เรื่องเงินเดือนและค่าตอบแทนของตำรวจ ถือเป็นความคิดเห็นส่วนตัว แต่สิ่งสำคัญคือการที่คุณเป็นข้าราชการตำรวจซึ่งต้องรู้ว่าสิ่งใดควรแสดงออกหรือไม่อย่างไร
ความคิดเห็นจากผู้ใต้บังคับบัญชาในบางครั้งเป็นสิ่งที่ดีต่อผู้บังคับบัญชา เพื่อจะได้รู้ว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติควรจะปรับปรุงหรือพัฒนาการทำงานของตำรวจในรูปแบบใด ส่วนหนึ่งเราก็ต้องฟังเขา แต่แน่นอนว่าการที่เอาเวลาราชการไปทำลักษณะแบบนี้ถ้าไม่ใช่การเบียดบังเวลาราชการหรือเป็นเวลาส่วนตัวก็ไม่ว่ากัน แต่การสวมใส่เครื่องแบบไปทำเช่นนั้นจะถูกต้องหรือไม่ ต้องตรวจสอบอย่างจริงจัง
พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ กล่าวต่อว่า ตนเองพร้อมสนับสนุนตำรวจที่ทำมาหากินโดยสุจริต แต่นั่นหมายความว่าต้องทำอย่างถูกต้องตามกฎหมายสุจริตชน ไม่เบียดเบียนเวลาราชการ และต้องไม่หลอกลวงคนอื่น ซึ่งจากนี้เป็นการพิสูจน์ข้อเท็จจริง
จากคลิปดังกล่าวยอมรับว่า พันตำรวจเอกรายนี้มีลักษณะพูดโน้มน้าวชักชวนจริง ถ้าพิสูจน์ได้ว่าเข้าข่ายหลอกลวงให้ประชาชนร่วมทำอย่างใดอย่างหนึ่ง และทำให้เสียทรัพย์สิน แน่นอนว่าจะต้องถูกดำเนินคดีทั้งทางวินัยและทางอาญา
ทั้งนี้ ตนเองยืนยันว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ไม่มีความพยายามจะแย่งคดีอะไรกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การทำงานของทั้ง 2 หน่วยงานได้มีการประสานงานกันตลอดเวลา สิ่งใดที่เป็นหน้างานของ DSI หรืออยู่ในอำนาจหน้าที่ก็ดำเนินการไป
ส่วนตำรวจก็ทำในส่วนกระบวนการยุติธรรมขั้นต้น อีกทั้งยังไม่มีรายงานว่ามีใครพยายามนำคดีออกไปจากการทำงานของตำรวจส่งให้ DSI โดยเฉพาะ ตนมั่นใจว่าสิ่งที่ตำรวจกำลังทำอยู่เป็นไปตามพยานหลักฐาน
หากถามว่าวันนี้พอใจกับการทำงานของตำรวจในคดีดิไอคอนกรุ๊ปหรือไม่ มองว่าตำรวจทำตามหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ส่วนที่ประชาชนสะท้อนในด้านดีก็ถือว่าเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ที่ทำงาน แต่ตลอดเวลาตนเองจะกำชับผู้ใต้บังคับบัญชาว่าขอให้ทำอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และรอบคอบรัดกุม ไม่ใช่ทำเพื่อเอาใจใครจนเกิดความเสียหาย
พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ กล่าวถึงกรณีที่ทนายความของผู้ต้องหาจะแจ้งความกลับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำการตรวจค้น 11 จุดเป้าหมายว่าเป็นการทำเกินกว่าเหตุ ในเรื่องนี้ส่วนของผู้ต้องหาหรือทนายความสามารถทำได้ตามสิทธิ์ แต่ยืนยันว่าตำรวจปฏิบัติหน้าที่เป็นไปอย่างถูกต้องและครอบคลุมที่สุดแล้ว