วันนี้ (27 มิถุนายน) ที่ย่านการค้าสำเพ็ง ริมถนนราชวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานลงพื้นที่เก็บรวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุเพลิงไหม้อาคารพาณิชย์ ซึ่งเกิดขึ้นวานนี้ (26 มิถุนายน)
ต่อมาเมื่อเวลา 10.30 น เจ้าหน้าที่จากการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ได้ถอดหม้อแปลงไฟฟ้าที่ตั้งอยู่ด้านหน้าสุดของอาคารพาณิชย์ที่เกิดเพลิงไหม้ ซึ่งหลายฝ่ายสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้ครั้งนี้ กลับไปตรวจสอบระบบการทำงานภายใน
ด้าน พ.ต.อ. วสันต์ ธวัชชัยวิรุตษ์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาล (สน.) จักรวรรดิ กล่าวว่า ขณะนี้กระบวนการสอบสวนยังดำเนินการไปอย่างต่อเนื่อง ยังไม่สามารถพิสูจน์ทราบได้ว่าสาเหตุเกิดจากสิ่งใด จนกว่าจะรอผลการสอบสวนผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเสร็จสิ้น อีกทั้งยังต้องรอผลการตรวจสอบของกองพิสูจน์หลักฐานนำมาประกอบสำนวนคดี ซึ่งต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควร ส่วนเรื่องผู้เสียหายที่ประสงค์จะเดินทางเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับหน่วยงานใด ก็สามารถเดินทางเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนได้ตามสิทธิ์
ด้าน ธเนศ วีระศิริ นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชปถัมภ์ (วสท.) กล่าวว่า จากการเข้าตรวจสอบอาคารที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ห้องที่ 1 และห้องที่ 2 ซึ่งเป็นร้านขายของเล่นและอุปกรณ์เด็ก และร้านขายอุปกรณ์พลาสติก พบว่าโครงเหล็กเกิดการงอ ผนังเกิดการบิดออก สภาพของโครงสร้างชำรุดมาก พื้นทรุดตัว
โดยทั้งสองอาคารนี้มีโอกาสที่จะต้องทุบสูงมาก ส่วนอาคารที่ 3 ที่อยู่ตรงกับหม้อแปลงไฟฟ้านั้น โครงเหล็กแอ่นตัวออกมา ทางวิศวกรรมมองว่า โอกาสที่จะกลับมาใช้งานได้คือต้องรื้อโครงเหล็ก ดังนั้น เป็นไปได้หรือไม่ที่ต้องรื้อแล้วทำใหม่เพื่อความปลอดภัย จากการตรวจสอบโครงสร้างทั้งหมดแล้ว แต่ละอาคารแยกจากกันจึงไม่ส่งผลต่ออาคารที่อยู่ติดกัน
ส่วนที่ประชาชนตั้งข้อสังเกตว่าสาเหตุอาจเกิดจากหม้อแปลงระเบิด ต้องตรวจสอบโดยละเอียดก่อน แต่โดยปกติแล้ว หม้อแปลงแต่ละลูกจะมีอายุการใช้งานราว 25 ปี
ส่วนหม้อแปลงลูกที่เกิดเหตุตรวจสอบพบว่าใช้งานมาแล้ว 20 ปี และพึ่งผ่านการตรวจสภาพการใช้งานไปเมื่อกลางปีที่แล้ว
ทั้งนี้ การติดตั้งหม้อแปลงแต่ละจุดเป็นไปตามมาตรฐาน คือห่างจากอาคาร 60 เซนติเมตร