วันนี้ (3 กุมภาพันธ์) ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ร่วมกันจับกุม รามิล อายุ 31 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 4557/2567 ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น โดยจับกุมได้ที่บ้านพักในตำบลคลองหินปูน อำเภอวังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว, ธนาวุฒิ อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ที่ จ.153/2568 ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้ที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน โดยจับกุมได้ที่บ้านพักในตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี
พฤติการณ์สืบเนื่องจากตำรวจสอบสวนกลางได้รับการร้องทุกข์จากผู้เสียหายว่ามีคนร้ายแต่งกายเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจวิดีโอคอลมาข่มขู่ผู้เสียหาย โดยแจ้งกับผู้เสียหายว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงินและคดียาเสพติด พร้อมส่งเอกสารปลอมต่างๆ มาให้ผู้เสียหายดู จนทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวและหลงเชื่อว่าบุคคลดังกล่าวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง ต่อมาคนร้ายหลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้ามาตรวจสอบเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงโอนเงินไปยังบัญชีคนร้าย รวมเป็นเงินมูลค่ากว่า 4 ล้านบาท ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการสืบสวนสอบสวน เพื่อจับกุมกลุ่มผู้กระทำความผิดตามนโยบายเชิงรุก
จากการตรวจสอบข้อมูลจากระบบแจ้งความออนไลน์และฐานข้อมูลพบว่า มีผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อในลักษณะเดียวกันนี้มากถึง 163 ราย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเร่งรัดดำเนินการสืบสวนอย่างต่อเนื่อง จนภายหลังสามารถระบุตัวคนร้ายที่แต่งกายเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจวิดีโอคอลมาหลอกลวงผู้เสียหาย จากนั้นจึงรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งสองรายตามหมายจับดังกล่าว
จากการสอบถามผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ตนเองทำหน้าที่เป็นสาย 1 ในการติดต่อเหยื่อจากระบบ SIM Box ที่เซ็ตระบบไว้ โดยตนเองจะได้ข้อมูลของเหยื่อ และจะต้องพูดตามสคริปต์ที่บอสคนจีนและคนคุมงานซึ่งเป็นคนไทยส่งมาให้ ซึ่งเมื่อผู้ต้องหาพูดชักจูงเหยื่อจนเหยื่อเริ่มหลงเชื่อแล้วจะส่งต่อไปให้สาย 2 เพื่อดำเนินการ
นอกจากนี้ ผู้ต้องหายังยอมรับอีกว่า ตนเองแต่งตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและวิดีโอคอลไปหลอกลวงผู้เสียหายอีกหลายราย รวมไปถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย ทั้งนี้ ผู้ต้องหาให้การว่า ในขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตนเองจะมีหน้าที่วิดีโอคอลเพื่อหลอกให้เหยื่อหลงเชื่อ และทำหน้าที่ควบคุมเหยื่อผ่านการวิดีโอคอลในระหว่างการหลอกลวง โดยเมื่อเหยื่อหลงเชื่อแล้วจะมีคนร้ายที่เรียกว่าสาย 3 ทำหน้าที่ปิดดีล หลอกให้เหยื่อโอนเงินให้ ซึ่งในระหว่างการหลอกลวงจะมีทั้งคนไทยและคนจีนทำหน้าที่เป็นคนควบคุมและคิดสคริปต์ในการหลอกลวงเหยื่อ เพื่อให้เป็นไปตามบทที่วางไว้ โดยหากตนเองไม่ปฏิบัติตามหรือต่อต้านจะถูกทำร้ายร่างกาย และหากตนเองสามารถหลอกจนเหยื่อหลงเชื่อและโอนเงินมาให้ได้จะได้รับส่วนแบ่งจากมูลค่าที่หลอกลวงเหยื่อ
ตำรวจสอบสวนกลางขอเตือนภัยประชาชน ขอให้พึงระลึกไว้เสมอว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจริงจะไม่ทำ 3 สิ่ง ดังนี้
- ติดต่อทางไลน์หรือวิดีโอคอลเพื่อสอบปากคำหรือแจ้งข้อกล่าวหา
- ให้ผู้เสียหายโอนเงินหรือทรัพย์สินมาตรวจสอบเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์
- ส่งเอกสารราชการทางไลน์ เช่น หมายเรียก หมายจับ
โดยหากประชาชนพบการหลอกลวงรูปแบบต่างๆ ในลักษณะข้างต้นที่มีการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้บันทึกภาพหน้าจอหรืออัดวิดีโอขณะสนทนาส่งแจ้งเป็นเบาะแสได้ทางเฟซบุ๊กตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปสู่การสืบสวนและจับกุมกลุ่มขบวนการนี้ต่อไป