คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ที่มีคำสั่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เพิกถอน ‘ใบสั่งจราจร-ค่าปรับ’ หลังพบว่าประกาศที่ใช้บังคับ ขัดต่อหลักนิติธรรมและไม่เป็นธรรมต่อประชาชน
THE STANDARD ย้อนรอยคดีที่พลิกโฉมกฎหมายจราจรไทย พร้อมจับตาแนวทางแก้ไขของตำรวจ ที่ต้องปรับปรุงรูปแบบใบสั่งและเกณฑ์ค่าปรับให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัย
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 180 วันนี้ ใบสั่งจราจรเดิมยังมีผลบังคับใช้ ผู้ที่ได้รับใบสั่งควรดำเนินการตามกฎหมาย และสามารถตรวจสอบใบสั่งออนไลน์ได้ที่ https://ptm.police.go.th/eTicket/#/
ผู้ร้อง: สุภา โชติงาม (ผู้อำนวยการกองกฎหมาย กรมการขนส่งทางบก)
ผู้ถูกร้อง: สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ประกาศที่เป็นประเด็น:
- ประกาศเรื่องกำหนดแบบ ใบสั่ง เจ้าพนักงานจราจร พ.ศ. 2563 (20 กรกฎาคม 2563)
- ประกาศเรื่องการกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และความผิดตามกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับรถหรือการใช้ทางที่มีโทษปรับสถานเดียว พ.ศ. 2566 (23 มีนาคม 2566)
‘ผู้ร้อง’ มองว่า:
- ประกาศไม่เป็นธรรม-ขัดหลักนิติธรรม ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาโต้แย้งคัดค้าน
- อัตราค่าปรับตายตัวทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถพิจารณาตามพฤติการณ์ผู้กระทำผิด
- ผู้ร้องยื่นฟ้องปม MOU ระหว่าง ตร. กับกรมการขนส่งทางบก ที่เชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับค่าปรับ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เหตุผลหลักที่ศาลตัดสินให้เพิกถอนประกาศ:
- การกำหนดอัตราค่าปรับที่ตายตัว: ขัดต่อกฎหมาย ไม่เปิดโอกาสให้เจ้าพนักงานจราจรใช้ดุลพินิจพิจารณาตามพฤติการณ์ผู้กระทำผิด
- การไม่แจ้งสิทธิในการโต้แย้ง: แบบใบสั่งที่กำหนดในประกาศไม่มีข้อความแจ้งสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาในการปฏิเสธหรือโต้แย้งข้อกล่าวหา ขัดหลักนิติธรรม-สิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน
- การเชื่อมโยงการจ่ายค่าปรับกับการจ่ายภาษีรถประจำปีเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เป็นการบังคับจ่ายค่าปรับทางอ้อม
ภาพประกอบ: พรวลี จ้วงพุฒซา
THE STANDARD รวบรวม ณ วันที่ 11 มีนาคม 2568
- ‘ใบสั่ง-ค่าปรับ’ เดิมจะยังมีผลต่อเนื่องไปอีก 180 วันนับจากวันที่ศาลมีคำพิพากษา (21 กุมภาพันธ์ 2568)