จากกรณีเหตุกราดยิงที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กขององค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) อุทัยสวรรค์ อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งมีผู้เสียชีวิตมากถึง 37 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 10 ราย ขณะที่ประเด็นหนึ่งกลายเป็นที่ถกเถียงอย่างมาก และเป็นความคลางแคลงใจของสังคม คือ ‘การเสพยาเสพติดของผู้ก่อเหตุ’ โดยก่อนหน้านี้มีรายละเอียดปรากฏในข่าวจากสื่อบางแห่ง ระบุว่า ตัวผู้ก่อเหตุมีประวัติเสพสารเสพติดตั้งแต่ก่อนเข้ารับราชการตำรวจ
ขณะที่ล่าสุด วันนี้ (7 ตุลาคม) เมื่อเวลา 14.30 น. พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้แถลงข่าวยืนยันถึงประเด็นการตรวจไม่พบสารเสพติดในร่างกายของผู้ก่อเหตุ ว่าเบื้องต้นที่ได้รับรายงานจากนิติเวช โรงพยาบาลอุดรธานี ว่าไม่พบสารเสพติดในร่างกายของผู้ก่อเหตุจริง คาดว่าภายใน 72 ชั่วโมงก่อนตรวจร่างกาย ผู้ก่อเหตุอาจไม่ได้ใช้สารเสพติด แต่หลังจากนี้จะต้องมีการตรวจซ้ำอีกครั้งตามกระบวนการของแพทย์เพื่อความชัดเจน
THE STANDARD คุยกับ ‘พล.ต.ต. วิชัย สังข์ประไพ’ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) ไขข้อสงสัยเบื้องต้นในประเด็นที่สังคมตั้งคำถามต่อกรณีนี้
– มีประวัติที่อาจเสพสารเสพติดตั้งแต่ก่อน หรือช่วงรับราชการตำรวจ
ข้อมูลจาก พล.ต.ต. นิธิธร จินตกานนท์ รองโฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ระบุถึงกรณีมีการนำเสนอว่าผู้ก่อเหตุ ซึ่งเคยเป็นอดีตำรวจในสังกัด บช.น. ถึงประวัติการเสพยาเสพติดตั้งแต่สมัยมัธยมที่ปรากฏตามสื่อนั้นว่า ‘ไม่ทราบ’
อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต. นิธิธร ยังให้สัมภาษณ์ด้วยว่า อาจจะเป็นไปได้ที่จะเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่ไม่เคยถูกจับกุม และมาสอบเข้ารับราชการช่วงที่อาจจะยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด อาจจะอยู่ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งผู้บังคับ (ผบ.) หมู่งานสืบสวน สถานีตำรวจนครบาล (สน.) ลุมพินี
ขณะที่ พล.ต.ต. วิชัยระบุว่า จากการตรวจสอบข้อมูลแล้วก่อนการรับราชการตำรวจไม่ได้มีการติดยาเสพติดแต่อย่างใด ตัวผู้ก่อเหตุมาติดยาเสพติดหลังจากการเข้ารับราชการตำรวจ อย่างไรก็ตามก็อาจมีความเป็นไปได้ที่จะมีประวัติยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดช่วงก่อนรับราชการ แล้วช่วงที่มาสอบหยุดเสพไป ก่อนที่จะกลับมาเสพหลังรับราชการตำรวจ
– ขั้นตอนการสอบเข้าตำรวจนายสิบ
พล.ต.ต. วิชัยกล่าวว่า การสอบเข้าเป็นตำรวจนายสิบไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องผ่านการคัดเลือกที่เข้มข้น คนสมัครสอบเยอะมาก และมีการตรวจร่างกายที่ละเอียด แม้แต่เรื่องสายตาสั้นก็ไม่อาจปล่อยผ่านได้ ตรวจผลเลือดและตรวจประวัติ
พล.ต.ต. วิชัย ยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ที่ขั้นตอนการตรวจเลือกตำรวจจะให้ผ่านหากมีข้อมูลหรือผลของการเสพยาเสพติด
– โทษของตำรวจหากยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด
พล.ต.ต. วิชัยกล่าวว่า หากมีประวัติหรือมีพฤติกรรมยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดก็จะต้องโดนไล่ออกจากราชการแน่นอน โดยจะมีขั้นตอนการสอบสวน ปรับย้าย ทัณฑ์บนต่างๆ และให้ออกจากราชการ
ซึ่งตำรวจก็จะมีการตรวจสอบสารเสพติดเป็นประจำ ทั้งการสุ่มอยู่เป็นประจำปีละ 1-2 ครั้ง ซึ่งหากพบเจอสารเสพติด แต่ไม่มีของกลางหรือไม่มีสิ่งเสพติดกับตัวก็จะต้องถูกส่งไปบำบัด แต่ถ้ามีพฤติการสนับสนุน เกี่ยวข้อง หรือมีการซื้อขายก็จำเป็นต้องลงโทษ
– ออกจากราชการตำรวจแล้วแต่ยังมีอาวุธปืน
พล.ต.ต. วิชัยเปรียบเทียบว่า หากเราเป็นประชาชนธรรมดาเราก็สามารถขอใบอนุญาตมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองได้ กรณีตำรวจออกจากราชการไปแล้วนั้นก็ยังมีสิทธิ์ที่จะครอบครองอาวุธปืนได้ เพราะปืนเป็นทรัพย์สินส่วนตัว
อย่างไรก็ตาม การมีอาวุธปืนไม่ว่ากรณีใดก็ต้องขอใบอนุญาตจากกรมการปกครอง ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ออกทะเบียนอาวุธปืน หรือใบอนุญาตการครอบครองปืน ดังนั้น เมื่อผู้ก่อเหตุครอบครองอยู่โดยมีใบอนุญาตจึงไม่สามารถยึดคืนได้
อย่างไรก็ตาม ต้องถือเป็นบทเรียนว่าหากในอนาคต ใครที่ถือครอบครองอาวุธปืนอยู่แล้วต้องออกจากราชการ มีพฤติการณ์ไม่เหมาะสม อาจจะต้องให้กรมการปกครองในฐานะผู้ออกใบอนุญาตพิจารณายึดคืนหรือยกเลิกใบอนุญาตพกอาวุธปืน
– แนวทางการแก้ปัญหาในลักษณะนี้ในอนาคต
พล.ต.ต. วิชัยระบุทิ้งท้ายว่า จากกรณีที่เกิดขึ้นในสังคมไทยในลักษณะคล้ายๆ กัน และผู้ก่อความรุนแรงมากที่สุด คือผู้ที่ใกล้ชิดอาวุธมากที่สุด ทั้งตำรวจ ทหาร ดังนั้น เวลาเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ก็จะต้องมีการใช้อาวุธ
“สมมติคนสองคนชกกันอย่างมากสุดก็คือมีแผล บาดเจ็บ แต่ถ้าชกกันแล้วอีกคนมีอาวุธปืนก็อาจมีการใช้ความรุนแรง โดยการใช้อาวุธปืนมายิงได้ ดังนั้น จะลดความรุนแรงได้ต้องควบคุมอาวุธปืน ควบคุมไม่ให้อยู่ในที่ที่อาจจะก่อเหตุได้ อาชญากรรมก็จะลดน้อยลง”
– ผบ.ตร. เผย ส.ต.อ. มือกราดยิง พบข้อมูลใหม่ ทะเลาะกับภรรยา เครียด ตกงานมา 1 ปี
ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดจาก พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ระบุว่า จากการสืบสวนสอบสวนในเรื่องของแรงจูงใจและสาเหตุของการก่อเหตุ พบข้อมูลใหม่ว่า ผู้ก่อเหตุทะเลาะกับภรรยาเมื่อช่วงเวลา 04.00 น. ในวันเกิดเหตุ โดยภรรยาได้โทรหาแม่ให้มารับที่บ้าน เพราะไม่อยากอยู่ด้วย ผู้ก่อเหตุจึงอาจจะมีความเครียดสะสม และหลังจากนั้นไปขึ้นศาลในคดียาเสพติด
จากข้อมูลของคนใกล้ตัวบอกว่ามีอาการปกติ ก่อนจะกลับบ้านมา และคาดว่าเมื่อกลับบ้านไม่เจอภรรยาจึงมีอาการคลุ้มคลั่ง ก่อนออกไปก่อเหตุดังกล่าว
สำหรับประเด็นหลักตอนนี้ตำรวจยังพุ่งเป้าไปที่ความขัดแย้งภายในครอบครัว รวมถึงปัญหาทางการเงิน เพราะตกงานกว่า 1 ปี ทำให้เกิดความเครียด แต่อย่างไรก็ตามนี่ยังไม่ใช่ข้อสรุปทางคดี โดยข้อเท็จจริงทั้งหมดยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ
ส่วนประเด็นเรื่องการถูกไล่ออกจากราชการ พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ยืนยันว่าไม่มีการกลั่นแกล้ง เพราะทุกอย่างตรงไปตรงมา และผู้บังคับบัญชาได้ให้ออกราชการหลังมีการจับกุมผู้ก่อเหตุได้ เพราะพบยาเสพติด 1 เม็ด ตอนแรกยังให้ออกจากราชการไว้ก่อน และเพิ่งมีคำสั่งให้ออกจากราชการเมื่อกลางปีที่ผ่านมา หลังจากสอบวินัยเสร็จสิ้น และพบว่าเป็นเรื่องจริง
พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ยังยืนยันว่า อาวุธปืนของผู้ก่อเหตุเป็นปืนส่วนตัวที่ซื้อถูกต้อง พร้อมมีใบอนุญาตในการใช้ และซื้อในสวัสดิการของตำรวจ เพราะถูกกว่าราคาทั่วไป เมื่อถูกไล่ออกก็ถือเป็นของส่วนตัว
ขณะที่สังคมตั้งคำถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายแง่มุม ทั้งเรื่องยาเสพติดและอาวุธปืน ทุกคำถามที่พุ่งเข้าหาหน่วยงานที่รับผิดชอบทยอยมีความคลี่คลาย
– คาดว่าต่อไปทำสัญญาให้หน่วยงานซื้อปืนคืน หากถูกออกจากราชการ แม้ใช้เงินส่วนตัวซื้อ
ด้าน พล.ต.ต. อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงแนวทางการจัดการกับอาวุธปืนของตำรวจที่ออกจากราชการว่าในอนาคตอาจจะต้องมีการทำสัญญาให้ทางหน่วยงานภาครัฐซื้ออาวุธปืนคืนกรณีที่ผู้ครอบครองใช้เงินส่วนตัวในการซื้อ และอาจจะต้องเข้มงวดเรื่องระเบียบวินัย
“เป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น ต่อไปนี้ต้องมีการสุ่มหรือตรวจควบคุมความประพฤติของผู้ใต้บังคับบัญชาที่ปฏิบัติงานดูแลประชาชนหรือป้องกันปราบปราม หรือแม้แต่ฝ่ายอำนวยการก็ได้ หากพบเห็นการพกพาอาวุธในสิ่งที่ไม่ใช่อำนาจหน้าที่ตัวเองก็จำเป็นต้องตักเตือนและดำเนินการทางวินัย” พล.ต.ต. อาชยนกล่าว
นอกจากนี้ พล.ต.ต. อาชยนยังระบุถึงมาตรการให้ผู้บังคับบัญชามีมาตรการร่วมรับผิดชอบ ในกรณีที่ยังรับราชการอยู่ หากผู้ใต้บังคับคัญชากระทำผิดโดยผู้บังคับบัญชาไม่รู้ ผู้บังคับบัญชาชั้นต้นมีสิทธิ์โดนโทษทางวินัย ดังนั้นเราจะมีการคุมประพฤติในทุกระดับชั้น
ส่วนเรื่องการกระทำผิดเรื่องเจ้าหน้าที่ตำรวจเกี่ยวกับยาเสพติด พล.ต.ต. อาชยนระบุว่า อาจต้องขอความร่วมมือประชาชนร่วมแจ้งเบาะแสผู้กระทำผิด ซึ่ง ผบ.ตร. พร้อมดำเนินการโดยเด็ดขาดทั้งวินัยและอาญา และพร้อมเพิ่มความเข้มข้นของการตรวจร่างกายและสุขภาพก่อนเข้ารับราชการตำรวจ
อย่างไรก็ตาม บทเรียนครั้งนี้หวังว่าจะเป็นบทเรียนครั้งสุดท้ายในสังคมไทยที่ผู้บริสุทธิ์ต้องเป็นเหยื่อ และครอบครัวต้องสูญเสียคนที่รัก โดยหวังว่าจะได้เห็นแนวทางการแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรมได้ต่อไป โศกนาฏกรรมนี้จะได้หมดไปจากสังคมไทย