×

พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ยื่นร้องทุกข์กล่าวโทษชุดทำคดีเว็บพนัน ย้ำขอบเขตอำนาจตำรวจ ชี้ถ้าประชาชนได้เลือกตั้ง ตัวเองได้เป็น ผบ.ตร. แน่

โดย THE STANDARD TEAM
24.04.2024
  • LOADING...

วันนี้ (24 เมษายน) ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เดินทางมายื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษหัวหน้าและคณะพนักงานสอบสวนที่เกี่ยวข้องในการดำเนินคดีฟอกเงินจากเว็บพนันออนไลน์ รวมเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 200 ราย

 

พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กล่าวว่า เมื่อวันจันทร์ที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา ได้มายื่นคำร้องให้ ป.ป.ช. ดำเนินการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของคณะพนักงานสอบสวนในคดีเว็บพนันออนไลน์ทั้งหมด ทั้งชุดพนักงานสอบสวนของสถานีตำรวจนครบาล (สน.) ทุ่งมหาเมฆและเตาปูนว่า กระบวนการดำเนินคดีอาจเป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจ หรือกระทำโดยมิชอบตามหลักกฎหมาย ซึ่ง ณ วันนั้นตนได้อธิบายให้เห็นแล้วว่าพฤติการณ์ที่ไม่ชอบเป็นอย่างไรบ้าง ส่วนจะถูกหรือผิด จากนี้ต้องเป็นเรื่องของ ป.ป.ช. ตัดสิน

 

แต่ในวันนี้ตนได้มายื่นร้องทุกข์กล่าวโทษให้มีการดำเนินคดีอาญาเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตั้งแต่ พล.ต.อ. ธนา ชูวงศ์ ที่เป็นรอง ผบ.ตร. และในฐานะที่เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีเว็บพนันออนไลน์ รวมไปถึงพนักงานสอบสวนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นส่วนกองบัญชาการตำรวจนครบาลหรืออื่นๆ ว่าทั้งหมดอาจเข้าข่ายดำเนินการสอบสวนโดยไม่มีอำนาจ ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ที่บัญญัติว่า ‘ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต’

 

พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กล่าวต่อไปว่า จากนี้กระบวนการตรวจสอบก็จะเริ่มขึ้น ตนจึงอยากเตือนน้องๆ ตำรวจทุกคนว่าการทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา พวกท่านอาจกลัวว่าถ้าสั่งแล้วไม่ทำจะโดนโยกย้าย แต่ทั้งนี้การที่ผู้บังคับบัญชาสั่งโดยไม่ชอบแล้วถูกย้ายสุดท้ายพวกท่านถูกย้ายกลับได้ แต่หากเมื่อใดก็ตามที่ถูกดำเนินคดีอาญาพวกท่านก็จะติดคุก แม้แต่ผู้ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการท่านก็ต้องใช้ชีวิตต่อสู้คดีไปกับตนและ ป.ป.ช. ไปอีกยาวนาน 

 

พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า การสอบสวนของพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ และ สน.เตาปูน เรื่องเส้นทางการเงิน มูลค่าเงินกว่า 500-600 ล้านบาท พวกท่านไม่ส่งคดีให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินการ แต่กลับสอบสวนเองทั้งหมด ทั้งที่ตามหลักกฎหมายคดีความที่มูลค่าความผิดไม่เกิน 300 ล้านบาทเท่านั้นถึงจะเป็นอำนาจของพนักงานสอบสวนตำรวจ 

 

ฉะน้ันแล้วเปรียบเหมือนพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ และ สน.เตาปูน เป็นพยาบาล พวกท่านทำได้แค่เตรียมเครื่องมือ ไม่สามารถทำคลอดเองได้ ต้องเป็นอำนาจหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ และเมื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษตรวจสอบว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐก็จะต้องมีการส่งคดีต่อมายัง ป.ป.ช. ต่อไป

 

“คดีนี้ตำรวจคือบุรุษพยาบาล แต่วันนี้ท่านทำเกินอำนาจหน้าที่คือท่านไปทำคลอดเด็ก เด็กมันก็จะตาย ตัวท่านก็จะตายด้วย ตนต้องฝากน้องๆ พนักงานสอบสวนว่าทางรอดของท่าน คือมาให้การกับป.ป.ช.ว่าใครสั่ง แค่นั้นท่านถึงจะรอด” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว

 

พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า การสอบสวนก็เหมือนพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก แต่ทุกวันนี้ไปสอบสวนแบบพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกมันคนละเรื่องกัน ท่านไม่ใช่พนักงานสอบสวนที่เป็นเจ้าของอำนาจ 

 

ที่วันนี้ทุกอย่างสำเร็จตนถูกสั่งให้ออกจากราชการชั่วคราว แล้วเรื่องถูกส่งมาที่ ป.ป.ช. ทันทีเหมือนเป็นการรับสารภาพผิดโดยชัดเจนว่า สำนวนทุกอย่างเป็นอำนาจหน้าที่ ป.ป.ช. ตั้งแต่ต้น

 

พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กล่าวถึงกรณีที่ก่อนหน้านี้ได้ยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี และต่อมามีการถอนเรื่องออกจาก ป.ป.ช. ว่าตนยื่นร้องประเด็นนายกฯ แต่งตั้ง ผบ.ตร. โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งกรณีนี้จากการตรวจสอบ คือมีผู้เคยมายื่นร้องเรียนก่อนหน้านี้แล้วและทาง ป.ป.ช. ได้รับเรื่องและสอบสวน ฉะนั้นหากตนยื่นอีกเกรงว่าจะทำให้เป็นเรื่องซ้ำซ้อนและกระบวนการจะยิ่งมีความล่าช้าออกไป

 

ส่วนเรื่องที่ 2 ที่เคยขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของนายกฯ กรณีโยกย้ายว่าอาจมีความไม่เป็นธรรม พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบของตนเองพบว่าท่านนายกรัฐมนตรีตัวท่านอยู่ในกระบวนการ แต่ท่านไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในการกระทำความผิด ต้องเห็นใจว่านายกฯ มาจากภาคธุรกิจ ท่านอาจไม่เข้าใจในส่วนของกฎหมายตำรวจ ซึ่งเรื่องนี้แม้แต่ตำรวจบางคนยังไม่เข้าใจทั้งหมด

 

ตนเชื่อว่าการที่นายกฯ มีคำสั่งให้ตนที่ก่อนหน้านี้ถูกย้ายไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี และให้ย้ายกลับไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตัวท่านนายกฯ คงเข้าใจว่าการส่งตัวกลับไปเพื่อส่งกลับไปทำงานให้พี่น้องประชาชนตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย แต่กลับมีคนมาหลอกท่าน กลายเป็นว่าส่งกลับแล้วก็ให้ออกจากราชการเลย

 

พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า กระบวนการที่จะให้ตนออกจากราชการมีการเตรียมล่วงหน้าไว้ก่อนแล้วประมาณ 2 วัน จากนั้นจึงให้นายกรัฐมนตรีเซ็นรับทราบให้ย้ายตนกลับมาที่สำนักงานตำรวจฯ

 

“องค์กรนี้เป็นองค์กรที่ต้องปกครองตำรวจ 2 แสนกว่าคน แต่กลับหลอกเพื่อหวังประโยชน์ส่วนตนอย่างเดียว อยู่ดีไม่ว่าดีหาคดีให้ตนเอง” พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กล่าว

 

สมัยก่อนที่ตนต้องไปอยู่สำนักนายกรัฐมนตรี 2 ปี เป็นเพราะตนไม่ยอมตรวจรับโครงการหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นตนคิดว่าการถูกย้ายไปก็ถูกย้ายกลับได้ แต่ทั้งนี้การเป็นพนักงานสอบสวนสั่งอะไรก็สั่งได้แต่ต้องยึดหลักกฎหมาย หากสอบโดยไม่มีอำนาจสอบคุกตารางรออยู่ และเมื่อถึงเวลาที่ต้องสู้ก็ต้องสู้อย่างโดดเดี่ยวและเดียวดาย

 

“ถ้าผมนิ่งเฉยยอมแพ้ ที่ผ่านมาผมทำงานให้ประชาชนขนาดไหน ผมบังคับใช้กฎหมายอำนวยความยุติธรรมให้ประชาชน ถ้าท่านให้ประชาชนเลือกตั้งผมได้เป็น ผบ.ตร. แน่ ผมยืนยัน ผมไม่เห็นโพล แต่ผมคือยาสามัญประจำบ้าน ประชาชนนึกไม่ออกก็โจ๊ก” พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กล่าว

 

พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า เหตุที่ตนต้องทำงานให้ประชาชนอย่างหนัก เพราะเกลียดความไม่ยุติธรรม และต่อไปตนจะเอาความยุติธรรมให้ชาวบ้านได้อย่างไรในเมื่อตนยังไม่ได้รับความยุติธรรมเลย ตนจึงต้องออกมาต่อสู้ เพราะตนก็ต้องคิดว่า เมื่อตนชนะได้ความชอบธรรมคืนมา ตนจะเอาความยุติธรรมคืนให้ชาวบ้าน

 

พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ถ้าวันนี้ตนผิดก็ต้องออก วันนี้ตนไม่ได้พึ่งใคร เพียงแต่รักษากฎหมาย ไม่ได้ให้ใครมาช่วย ถ้านายกฯ เห็นว่าคำสั่งของตำรวจผิดท่านก็ต้องเพิกถอน

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

X
Close Advertising