การที่ ‘การ์ดโปเกมอน’ กระดาษแข็งชิ้นเล็กๆ ที่ประดับด้วยตัวละครอันเป็นที่รักอย่างปิกาจู กลายเป็นของสะสมและมีค่าพอๆ กับทองคำหรือนาฬิกาหรู ทำให้เกิดอาชญากรรมเพิ่มขึ้นอย่างคาดไม่ถึง จนเจ้าของร้านต้องดิ้นรนเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและปกป้องสินค้าของตัวเอง
Kenta Hosaka เจ้าของร้านการ์ดเล็กๆ วัย 33 ปี ในมาชิดะ ชานเมืองโตเกียว เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ในช่วงกลางดึกหัวขโมยได้ตัดบานหน้าต่างโลหะของร้าน ทุบตู้โชว์กระจกแตก และยึดของมีค่าที่สุดของร้านไป ไม่ใช่เพชรหรือทอง แต่เป็นการ์ดโปเกมอนที่แพงที่สุด รวมมูลค่าประมาณ 58,000 ดอลลาร์ หรือราว 2 ล้านบาท
Hosaka ซึ่งเคยทำงานดูแลผู้สูงอายุมาก่อน มีวิสัยทัศน์ในการสร้างร้านการ์ดเล็กๆ ที่อบอุ่น สถานที่ที่นักสะสมการ์ดและผู้ที่ชื่นชอบสามารถมารวมตัวกัน แลกเปลี่ยน และพูดคุยเกี่ยวกับความหลงใหลที่มีร่วมกัน อย่างไรก็ตาม วิสัยทัศน์นี้ได้ถูกทำลายลง เนื่องจากกระดาษแข็งชิ้นเล็กๆ ที่ดูเหมือนไม่มีพิษมีภัย เริ่มถูกนำไปเปรียบเทียบกับนาฬิกา Rolex โลหะมีค่า และรถยนต์หรูหรา ในแง่ของมูลค่า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- มาร์ติเนซเลิกแข่ง NFL รับเงินหลายสิบล้านจากการ์ดโปเกมอน
- Pokémon พิมพ์การ์ด 9 พันล้านใบในปีที่ผ่านมา โดย ‘นักเก็งกำไร’ บางคนสามารถไปขายต่อได้เพิ่มขึ้น 350 เท่าจาก ‘การ์ดหายาก’
- จากอารมณ์หวนคิดถึงวัยเยาว์ของชาวมิลเลนเนียล สู่ ‘ยุคตื่นทองการ์ด Pokémon’ ที่ทำให้ผู้สะสมและสตาร์ทอัพก้าวขึ้นเป็น ‘เศรษฐี’ ในชั่วพริบตา
อาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการ์ดโปเกมอนเพิ่มขึ้นจนทำให้หลายคนตกใจ นั่นเป็นเพราะโปเกมอนถือเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมป๊อปของญี่ปุ่นต่อผู้คนทั่วโลก
การแพร่ระบาดทั่วโลกทำให้ผู้คนต้องล็อกดาวน์และใช้เวลาอยู่ที่บ้านมากขึ้น ทำให้โปเกมอนได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น The Pokémon Company ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Nintendo ได้รับทราบความต้องการการ์ดโปเกมอนที่มีมาอย่างต่อเนื่อง และให้คำมั่นว่าจะเพิ่มการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการนี้
ขณะที่เด็กทั่วไปสามารถซื้อการ์ดแพ็กมาตรฐานด้วยเงินค่าขนมของพวกเขา การ์ดที่ได้รับความนิยมและเป็นที่ต้องการมากที่สุดสามารถดึงราคาเพิ่มขึ้นจนคาดไม่ถึง โดยมูลค่าจะพุ่งสูงขึ้นไปอีกหากการ์ดหายากหรือมีข้อผิดพลาดในการพิมพ์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ กรณี YouTuber ชาวญี่ปุ่นชื่อ Hikakin ที่เมื่อฤดูร้อนที่แล้วได้ซื้อการ์ดที่มีข้อบกพร่องซึ่งมีตัวละคร Charizard อยู่บนการ์ด ในราคาประมาณ 3.6 แสนดอลลาร์ หรือราว 12.5 ล้านบาทด้วยกัน
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการโจรกรรมเหล่านี้คือลักษณะของการ์ดเอง ที่มีขนาดเล็กทำให้ใส่กระเป๋าและพกพาได้ง่าย นอกจากนี้ การ์ดไม่มีหมายเลขประจำเครื่อง ทำให้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะติดตามเมื่อการ์ดถูกขโมยไป
สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้อาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการ์ดเพิ่มขึ้นทั่วประเทศญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึงการขโมยการ์ด 600 ใบจากร้านค้าใกล้ภูเขาฟูจิ มูลค่า 47,000 ดอลลาร์ และการปล้นครั้งใหญ่ในโตเกียว ที่ชายคนหนึ่งปีนตึกเพื่อขโมยการ์ดมูลค่าเกือบ 2 แสนดอลลาร์ มีรายงานว่าผู้ต้องสงสัยในคดีหลังนี้บอกกับตำรวจว่า เขาใช้ทักษะการปีนหน้าผาที่เรียนในโรงเรียนมัธยมเพื่อทำการโจรกรรม
แม้แต่ร้านค้าที่ตั้งขึ้นใหม่ก็ไม่เว้น Toreka Himitsukichi ร้านขายการ์ดที่ตั้งอยู่ในอากิฮาบาระ ถูกผู้ร้ายพยายามขโมยการ์ดส่วนใหญ่ของร้านจำนวน 800 ใบ ส่งผลให้สูญเสียประมาณ 1.82 แสนดอลลาร์ เพียงไม่กี่วันหลังเปิดร้าน
เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้เจ้าของร้านต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย ร้านค้าจำนวนมากต้องใช้ระบบรักษาความปลอดภัยที่พบได้ในธนาคาร ตู้เซฟติดกับพื้น ระบบเตือนภัยล้ำสมัย และแม้แต่กระจกนิรภัย กำลังกลายเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปในร้านการ์ดทั่วประเทศญี่ปุ่น
กระนั้นมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เพิ่มเข้ามาเหล่านี้ยังส่งผลเสียต่อธุรกิจอีกด้วย เพราะการ์ดที่จัดแสดงขาดความเงางามและเสน่ห์ของการ์ดโฮโลแกรม ทำให้ยอดขายลดลง แต่เนื่องจากอาชญากรจำนวนมากยังคงลอยนวลอยู่ เจ้าของร้านอย่าง Kakeru Okubo แห่ง Toreka Himitsukichi จึงเรียกร้องให้ทางการดำเนินการอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด โดยสะท้อนคำพูดติดปากของโปเกมอนที่ว่า “Catch ’em all, as soon as possible!”
ในการเผชิญกับคลื่นอาชญากรรมนี้ ทำให้เกิดการรวมตัวของผู้ที่ชื่นชอบการ์ตูนชนิดนี้ หลังจากการถูกขโมยของที่ร้านของเขา Hosaka สามารถระดมทุนได้ประมาณ 25,000 ดอลลาร์ ผ่านแคมเปญคราวด์ฟันดิ้ง
แม้จะถูกคุกคามจากการขโมย เขายังคงจัดแสดงการ์ดโปเกมอนราคาแพงในร้านของเขา สำหรับ Hosaka แล้ว การ์ดเหล่านี้เป็นมากกว่าของสะสม โดยเปรียบการ์ดเหล่านั้นกับงานศิลปะที่งดงาม ความรู้สึกของเขาสรุปความรู้สึกของแฟนๆ และนักสะสมหลายคนว่า “คุณต้องการดูภาพวาดปลอมที่จัดแสดงเมื่อคุณไปพิพิธภัณฑ์เหรอ?” แม้จะตกเป็นเป้าหมายของหัวขโมย แต่การ์ดสะสมเหล่านี้ยังคงเป็นสถานที่พิเศษในหัวใจของแฟนๆ ไม่ใช่แค่ในญี่ปุ่นเท่านั้น แต่รวมถึงทั่วโลกด้วย
ภาพ: Jörg Carstensen / picture alliance via Getty Images
อ้างอิง: