×

นายกฯ ย้ำความร่วมมือเอเชียบนเวที Nikkei Forum ดึงความเจริญสู่ภูมิภาค เผยอยากเห็นอาเซียนมีเอกภาพ-ดึงเมียนมากลับสู่ประชาธิปไตย

โดย THE STANDARD TEAM
24.05.2024
  • LOADING...
Nikkei Forum

วันนี้ (24 พฤษภาคม) เวลาประมาณ 09.40 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงโตเกียว ซึ่งเร็วกว่ากรุงเทพฯ 2 ชั่วโมง) ณ โรงแรมอิมพีเรียล กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุม Nikkei Forum Future of Asia ครั้งที่ 29 พร้อมกล่าวปาฐกถาภายใต้หัวข้อ ‘Asian Leadership in an Uncertain World’ (การเป็นผู้นำของเอเชียในบริบทโลกที่มีความผันผวน)

 

โดย รัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญดังนี้

 

นายกรัฐมนตรียินดีกับการร่วมประชุม Nikkei Forum Future of Asia เป็นครั้งแรกในปีนี้ โดยเดือนธันวาคมปีที่แล้วได้มาร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ ฉลองวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่น กำหนดเป็นทิศทางการทำงานในอนาคตร่วมกัน บนพื้นฐานของความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และความเป็นหุ้นส่วนแบบใจถึงใจกับญี่ปุ่นพันธมิตรที่เก่าแก่

 

ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายครั้งใหญ่ ตั้งแต่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจ ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งผลกระทบของโควิด-19 แต่นายกรัฐมนตรีมองว่าเป็นโอกาสสำหรับภูมิภาคที่จะมีบทบาท พร้อมนำเสนอความท้าทายเพื่อนำไปสู่ความร่วมมือ 3 ประการ เพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกันดังนี้

 

ความท้าทายแรก ภูมิภาคเอเชียเปรียบเสมือนจุดสมดุล ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมามหาอำนาจ พยายามรักษา ‘ความสมดุล’ ที่เหมาะสมในการดำเนินความร่วมมือกับภูมิภาคเอเชีย ซึ่งทำให้เอเชียอยู่ในจุดสำคัญที่ไม่เหมือนใครในเวทีโลก

 

โดยเฉพาะอาเซียนที่มุ่งมั่นรักษาความเป็นแกนกลางและดำเนินความร่วมมือกันเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ทั้งจากสถานการณ์ในเมียนมา ไต้หวัน หรือทะเลจีนใต้ ตลอดจนความขัดแย้งในยูเครนและตะวันออกกลาง ทั้งนี้ แม้จะมีความท้าทายแต่เป้าหมายสำคัญที่ทุกฝ่ายควรมีคือนำความมั่งคั่งเจริญรุ่งเรืองในระยะยาวมาสู่ประชาชน รวมถึงรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค แม้อาเซียนจะไม่เข้าข้างฝ่ายใด แต่อาเซียนมีจุดยืนที่ยังคงระมัดระวัง และต้องมุ่งมั่นที่จะปกป้องผลประโยชน์บนความเชื่อพื้นฐาน เช่น สถานการณ์ในเมียนมา อาเซียนกำลังทำงานร่วมกันเพื่อให้เกิดสันติสุข มั่นคง และเป็นเอกภาพ พร้อมอยากเห็นเมียนมากลับมาบนเส้นทางประชาธิปไตยอีกครั้ง

 

นายกรัฐมนตรียังกล่าวอีกว่า ไทยสนับสนุนการเจรจาสันติภาพระหว่างฝ่ายต่างๆ และประสานงานอย่างใกล้ชิดกับ สปป.ลาว ในฐานะประธานอาเซียน ประเทศเพื่อนบ้านของเมียนมา และพันธมิตรอื่นๆ รวมถึงยกระดับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมสำหรับชาวเมียนมาตามแนวชายแดนของไทย สิ่งเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าเอเชียสามารถเป็นผู้นำผ่านความพยายามร่วมกันและเสียงที่เป็นเอกภาพ เพราะเมื่อรวมกันแล้วเสียงของเราจะดังที่สุด

 

ความท้าทายที่สอง มีหลายคนกล่าวว่าความร่วมมือพหุภาคีและโลกาภิวัตน์กำลังลดลง มหาอำนาจแข่งขันกันเอง ซึ่งนายกรัฐมนตรียังมองเห็นโอกาสฟื้นคืนจิตวิญญาณของความร่วมมือ และโอกาสเสริมสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาคและระหว่างภูมิภาคที่เปิดกว้างและมองไปยังโลกภายนอก ซึ่งประเทศในเอเชียควรร่วมมือกันและทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น

 

ความท้าทายที่สาม โลกกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วและเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Internet of Things, AI, เทคโนโลยีทางการเงิน, ควอนตัมคอมพิวเตอร์, บล็อกเชน ทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ก้าวข้ามขอบเขต ซึ่งต้องคำนึงถึงผลกระทบด้วย ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์หรือความเสียหาย ต้องเตรียมคนให้พร้อม ต้องสร้างสมดุล ทั้งส่งเสริมการศึกษาในระบบ เพิ่มทักษะความรู้ด้านดิจิทัล รวมถึงออกกฎหมายและกฎระเบียบที่ส่งเสริมนวัตกรรม

 

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการเสริมสร้างความยืดหยุ่นเพื่อรับมือกับความท้าทายภายในเอเชีย ซึ่งสิ่งนี้เป็นจุดที่ภูมิภาคเอเชียสามารถสร้างความแตกต่างได้ เพราะไม่มีประเทศใดจะรับมือได้เพียงลำพัง และในศตวรรษแห่งเอเชีย (Asian Century) นี้ ประเทศในเอเชียจะต้องอยู่ร่วมกัน และแสดงบทบาทนำในเวทีโลกต่อไป ภูมิภาคเอเชียเป็นผู้ผลิตและครัวของโลก มีความสำคัญในห่วงโซ่อุปทานโลก เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ มีประชากรมากกว่า 4.78 พันล้านคน ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรโลก

 

โดยนายกรัฐมนตรีได้นำเสนอถึงประเด็นความร่วมมือเร่งด่วน 3 ประการ ดังนี้

 

ประการแรก การค้าและการลงทุน ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจเป็นรากฐานของสันติภาพและเสถียรภาพ ช่วยส่งเสริมการพัฒนาทางสังคมและมนุษย์ การเติบโตทางเศรษฐกิจจึงส่งผลสำคัญ ทำให้ประชาชนสามารถเติบโตได้ ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ผลกระทบจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก นำไปสู่ปรากฏการณ์ของการย้ายฐานการผลิตกลับสู่ประเทศแม่และประเทศใกล้เคียง รวมไปถึงการย้ายฐานการผลิตไปสู่ประเทศพันธมิตรที่มีความปลอดภัย ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกหยุดชะงัก ภูมิภาคเอเชียจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่เหล่านี้

 

ภูมิภาคเอเชียเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 แต่ก็เป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ฟื้นตัวได้เร็วที่สุด สามารถต่อสู้กับความท้าทาย มีอิทธิพลและมีความสำคัญเชิงกลยุทธ์มากขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปและมั่นคง โดยในอนาคต ภูมิภาคเอเชียควรส่งเสริมระบบการค้าแบบพหุภาคีร่วมกับ WTO พร้อมส่งเสริมสภาพแวดล้อมการค้าและการลงทุนที่เสรี เปิดกว้าง ยุติธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ โปร่งใส และครอบคลุมต่อไป ภูมิภาคเอเชียเดินทางมาไกล ผ่านความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค เช่น RCEP ซึ่งสร้างขึ้นจากความตกลงการค้าเสรี (FTA) อาเซียน+1 ที่มีอยู่กับพันธมิตร ซึ่งรวมถึงญี่ปุ่น ทำให้เกิดเป็น FTA ขนาดใหญ่ที่สุด และมี GDP รวมคิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรโลก

 

อย่างไรก็ดี ศักยภาพความร่วมมือทางเศรษฐกิจของเอเชียที่สามารถเติบโตได้มากขึ้น โดยเชื่อว่าการเจรจา FTA ควรมีความสำคัญสูงสุด ต้องใช้เขตการค้าเสรีเพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน และตลาดสินค้าที่หลากหลาย ปัจจุบันไทยได้ลงนาม FTA 15 ฉบับกับ 19 ประเทศ โดยล่าสุดกับศรีลังกา และอีก 7 ความตกลงที่อยู่ระหว่างดำเนินการ รวมถึง EU และ EFTA ด้วย

 

นอกจากนี้ไทยแสดงเจตจำนงร่วมเป็นสมาชิก OECD พร้อมขอบคุณญี่ปุ่นสำหรับการสนับสนุน และแสดงบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมระหว่าง OECD กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น โดยไทยอยู่ระหว่างการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางการลงทุนและยกระดับมาตรฐาน มุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างระบบนิเวศในการดำเนินธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกเพื่อรักษาและดึงดูดนักลงทุน

 

ประการที่สอง การเปลี่ยนผ่านสีเขียว การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย เป็นความรับผิดชอบของทุกคน โดยสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่ที่บ้าน ซึ่งในความพยายามอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ฉบับแรกของประเทศไทยจะมีผลบังคับใช้ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า

 

นอกจากนี้รัฐบาลยังได้จัดตั้งกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เพื่อดูแลการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศโดยรวมของประเทศไทย มีความก้าวหน้าอย่างมาก โดยเฉพาะภาคพลังงานและการขนส่ง โดยไทยยินดีรับการลงทุนเพิ่มเติมในด้านไฮโดรเจนสีเขียว และเทคโนโลยีดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงการขยายตลาดคาร์บอนเครดิต

 

ขณะที่ด้านการขนส่ง รัฐบาลกำลังเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางคมนาคมแห่งอนาคต และสร้างอุตสาหกรรมห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ครอบคลุม โดยเป้าหมายแรกคือการเพิ่มการผลิต EV ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ให้ได้ 30% ภายในปี 2030 อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงสนับสนุนผู้ผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป (ICE) ของญี่ปุ่นในช่วงของการเปลี่ยนผ่านนี้ โดยไทยให้ความสำคัญกับญี่ปุ่นและนักลงทุนชาวญี่ปุ่นที่มีบทบาทสำคัญมายาวนาน ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย

 

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงความร่วมมือของอาเซียนในการใช้พลังงานสะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งประเทศในอาเซียนอยู่ระหว่างการก่อสร้างโครงการเชื่อมโยงระบบส่งไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Power Grid) ที่จะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งของพลังงานหมุนเวียนในภูมิภาค โดยประเทศไทยมีแนวทางจะเพิ่มส่วนแบ่งของพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้าให้ได้อย่างน้อย 50% ภายในปี 2040 ภาคเอกชนและสถาบันการเงินเป็นส่วนสำคัญสำหรับการสร้างระบบนิเวศและโครงสร้างพื้นฐานสำหรับพลังงานสะอาดนี้ โดยควรจัดให้มีสิทธิประโยชน์ ทั้งด้านภาษีและที่ไม่ใช่ภาษีให้เหมาะสม ซึ่งการเงินที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสามารถเป็นแรงผลักดันหลักได้ โดยประเทศไทยได้ออกตราสารหนี้สีเขียว (Green Bonds) ตั้งแต่ปี 2021 และจะมีการออกตราสารหนี้ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนเพิ่มเติมในปีนี้ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยยินดีต้อนรับนักลงทุนทุกคนให้เข้ามามีส่วนร่วมขับเคลื่อนภูมิภาคไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้น

 

ประการที่สาม การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล โลกที่เชื่อมต่อกันทางดิจิทัลไม่เพียงแต่เชื่อมต่อทางเศรษฐกิจดิจิทัลเท่านั้น แต่ยังสร้างสังคมดิจิทัลเต็มรูปแบบ ซึ่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน โดยประเทศไทย ประชาชนที่มีความสนใจทางดิจิทัลได้เริ่มเดินหน้าไปสู่การเปลี่ยนผ่านนี้แล้ว โดยเป็นผลสืบเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้ระบบการชำระเงินผ่าน QR Code ขยายตัวรวดเร็ว แอปพลิเคชันส่งอาหาร และการซื้อของออนไลน์ได้กลายเป็นสิ่งจำเป็น โดยปัจจุบันระบบการชำระเงินข้ามพรมแดนของไทยเชื่อมโยงกับหลายประเทศแล้ว ส่วนใหญ่เป็นประเทศในกลุ่มอาเซียน รวมถึงญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของคนไทย

 

เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา CEO ของ Microsoft ประกาศแผนการลงทุนสำหรับอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยดิจิทัลและ AI ผ่าน Data Center ระดับภูมิภาคแห่งใหม่ในประเทศไทย พร้อมด้วยโครงการอื่นๆ ที่จะพัฒนาทักษะให้กับบุคลากรรุ่นใหม่ที่มีความสามารถด้านดิจิทัล และบุคลากรด้านเทคโนโลยีทั่วทั้งอาเซียน โดยถือเป็นการพัฒนาที่ล้ำหน้า และสำคัญต่ออุตสาหกรรมดิจิทัลที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงและคลาวด์ที่กำลังเติบโต สิ่งนี้จะช่วยให้ไทยสามารถใช้ประโยชน์จากศักยภาพมหาศาลทางเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างเต็มที่

 

นอกจากนี้อาเซียนอยู่ระหว่างการเจรจากรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy Framework Agreement: DEFA) ซึ่งหากเสร็จสิ้นจะกลายเป็นข้อตกลงระดับภูมิภาคฉบับแรกของโลก โดยคาดว่าจะเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาคเป็นสองเท่า หรือ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030

 

นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าทั้งสามประการข้างต้นจะนำภูมิภาคเอเชียเข้าใกล้โลกที่ปรารถนาที่จะเห็นมากยิ่งขึ้น โดยแต่ละประเทศต้องมีความรับผิดชอบร่วมกัน เพราะไม่มีใครสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้โดยลำพัง เวทีการประชุมอย่าง Nikkei Forum นี้จึงควรประสานความร่วมมือ โดยนำภาครัฐและเอกชนมาหารือร่วมกัน แบ่งปันความคิด แนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ และบทเรียนร่วมกัน เพราะทุกคนที่อยู่ในชุมชนธุรกิจเหล่านี้ล้วนอยู่เบื้องหลังการเติบโตของเอเชียอย่างแท้จริง

 

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่าเอเชียจะต้องรักษาบทบาทนำร่วมกัน เพื่อจุดประกายการเติบโต และฟื้นฟูความไว้เนื้อเชื่อใจกันในระบบโลก ซึ่งช่วยสร้างความแข็งแกร่งในยุค Asian Century ขณะนี้ถึงเวลาสู่การปฏิบัติ พร้อมขอให้มั่นใจว่าไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ไทยจะยืนเคียงข้างญี่ปุ่น

 

Nikkei Forum Nikkei Forum

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X