วันนี้ (25 กุมภาพันธ์) พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน ครั้งที่ 1 กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยงานในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อช่วยไกล่เกลี่ยหนี้ก่อนฟ้องและหนี้หลังมีคำพิพากษา ทั้งในส่วน ลูกหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อรถยนต์ และหนี้สินครัวเรือนประเภทอื่นๆ
พล.อ. ประยุทธ์ยืนยัน รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหนี้สิน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง แต่วันนี้เจอสถานการณ์โควิด แต่แม้ว่าไม่มีสถานการณ์โควิด รัฐบาลก็ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง
ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศเดียวในโลกที่พบปัญหานี้ ขอให้มองทั้งภายในและภายนอกว่าโลกเกิดอะไรขึ้นบ้าง หากมองมาทางประเทศไทยประเทศเดียวก็เยอะไปหมด ต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาไปด้วยกัน โดยปีนี้รัฐบาลประกาศให้มีการแก้ไขปัญหาความยากจน โลกเปลี่ยนเราต้องปรับตัว ตนเองไม่สามารถจะไปช่วยเหลืออะไรหลายอย่างได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน วันนี้พร้อมหรือยังที่จะเพิ่มศักยภาพ พัฒนาตัวเอง ไม่เลือกงาน ประเทศไทยมีอะไรให้ทำอีกเยอะ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ทุกคนจะต้องช่วยกันแก้ไขปัญหา ตนพร้อมรับฟังความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่ว่าทำอะไรไม่ได้สักอย่าง กฎหมายมีอยู่แล้ว ต้องทำภายใต้กฎหมายที่มีอยู่
พล.อ. ประยุทธ์ระบุอีกว่า ปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด สถานการณ์ในประเทศไทยไม่ได้เลวร้ายไปกว่าประเทศอื่น จึงขอความร่วมมืออย่าพูดให้ประเทศเกิดความเลวร้าย ตนไม่ทราบว่าทำไปเพื่ออะไร ทุกคนทำงานเต็มที่เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาด ทุกคนก็มีส่วนร่วมว่าจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดมากขึ้น และจะประพฤติตนอย่างไรในการใช้ชีวิตในแต่ละวันเพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาด เพราะจะนำไปสู่เรื่องการใช้เตียงจากโรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายต่างๆ แน่นอนว่ารัฐบาลต้องดูแลอยู่แล้วเพราะเป็นหน้าที่ แต่ถ้าเราช่วยกัน จะไม่ดีกว่าหรือเพื่อที่จะได้นำงบประมาณ ไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น ก็แล้วแต่ ตนพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาอยู่แล้ว
การแก้ไขปัญหาความยากจนหลายรัฐบาลไม่ใช่ไม่คิด แต่ตนก็ให้นโยบาย แปลว่าต้องแก้ไขปัญหาจากต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ต้องดูว่าจะแก้ได้อย่างไร เพื่อให้สามารถอยู่รอด ให้เหลือเงินเพียงพอที่จะนำไปใช้จ่าย จะอยู่รอดอย่างพอเพียง นำไปสู่ความยั่งยืนได้หรือไม่ หนี้สินครัวเรือน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ ลามไปถึงปัญหาสังคม ความเสียหาย การล้มละลาย การฟ้องร้อง เราจึงต้องขจัดความยากจน และพัฒนาคนตามช่วงวัยอย่างยั่งยืน การแก้ไขปัญหาความยากจน ต้องพุ่งเป้าไปที่ครัวเรือน และต้องดูว่าความจนมันเกิดจากอะไร บางครั้งไม่ใช่จนแค่เงิน แต่จนความรู้ จนเรื่องเทคโนโลยี เราจึงต้องหาวิธีการแก้ไข โดยเริ่มต้นตั้งแต่ปีนี้ ตนต้องการให้ประเทศไทยเกิดความยั่งยืน ไม่ใช่ประเทศที่แตกแยก ไม่ใช่ประเทศแห่งความทะเลาะเบาะแว้ง ถ้าเป็นแบบนั้นจะแก้ไขอะไรไม่ได้สักอย่าง ตรงไหนเขารบกันก็ไปรบกับเขาด้วย ตรงไหนทะเลาะกันก็ไปทะเลาะกับเขาด้วย ถามว่าจะอยู่แบบนี้หรือ ขอให้ทุกคนคิดกันเสียบ้าง
และเมื่อเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาด ผลกระทบของโรคทำให้แรงงานบางส่วนถูกเลิกจ้าง ถูกหักเงินเดือน แม้รัฐบาลจะมีโครงการต่างๆ เข้ามาช่วยเหลือ แล้วต้องถามว่าต้องใช้เงินชดเชยอีกเท่าไร ไม่มีก็ต้องหาเงินให้จนมี แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือบอกว่ารัฐบาลไม่ดูแล ตนไม่เข้าใจหลักคิดของคนบางคนคืออะไร
ส่วนผู้กู้เงิน กยศ. ที่ไม่คืนเงิน ต้องไปดูว่ายืมมากี่ปี แล้วเพราะอะไรถึงไม่ชำระ มีปัญหาก็ต้องช่วยเหลือ แก้ปัญหาให้แล้ว คนที่มีปัญหาไม่ชำระไปหาตัวมาให้ดีก็แล้ว เงินทั้งหมดในวันนี้ไม่ใช่เงินของรัฐบาล เป็นเงินของประชาชนส่วนหนึ่งด้วย
พล.อ. ประยุทธ์ระบุว่า บ้านเมืองมีกฎหมายกติกาที่มีอยู่ ขอให้ไปดูศึกษากฎหมาย คนบางคนพูดแต่ปาก และบางคนก็เชื่อเขาไป อย่าไปเชื่อเขา ถ้าง่ายอย่างนั้นคงทำไปนานแล้ว คงไม่มีต้องหนีคดีติดคุก เช่นเดียวกับเรื่องบางเรื่องก็กลายเป็นเรื่องใหญ่โต ฟ้องแล้วฟ้องอีก ประกันแล้วประกันอีก ยังฟังกันอยู่ทำไม เจ้าหน้าที่เขาทำงานกันแทบตาย
พล.อ. ประยุทธ์ยังกล่าวตอนหนึ่ง ว่าเราต้องกลับมาดูสิ่งเก่าๆ หนี้สินปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำ ปัญหาเหล่านี้มักจะมีปัญหาทุกครั้ง ตนไม่ทราบว่าสาเหตุคืออะไร ต้องกลับไปอยู่ในวังวนเดิมๆ เพราะง่ายต่อการสร้างความชื่นชอบส่วนตัวทางการเมืองหรือไม่ ขออย่าทำร้ายประชาชนอีกต่อไปเลย ก่อนที่จะหันไปถามสมศักดิ์ ว่าเครียดเหมือนตนหรือไม่ ไม่ต้องมาเครียดกับตน ตนเครียดทุกเช้า สิ่งที่ตนพูดคือต้องพูดเสียบ้าง ถึงแม้ว่าใครจะให้เกียรติหรือไม่ให้เกียรติตน ตนไม่ชอบคำพูดว่า ‘โว’ อะไรที่ดีและชี้แจงออกมาแต่ก็หาว่าโว โวคืออะไร ขี้โม้ขี้คุยหรืออย่างไร เมื่อตนชี้แจงก็ฟังเสียงบ้าง ไม่เคยมีประเทศไหนที่สื่อไม่เคยให้เกียรติผู้นำประเทศขนาดนี้ ก่อนที่จะหันไปพูดกับพระสงฆ์ด้านหน้าว่า ตนขออนุโมทนาสาธุ และกำลังใช้ธรรมะข่มใจอยู่
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าในการกล่าวปาฐกถาครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีค่อนข้างมีอารมณ์ และใช้เสียงดังเป็นระยะ