วันนี้ (14 สิงหาคม) อนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวผ่านไทยคู่ฟ้าพอดแคสต์ ถึงกรณีการบริหารจัดการยาฟาวิพิราเวียร์ว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งการให้จัดหายาให้เพียงพอเนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายให้ประชาชนผู้ติดเชื้อโควิด เข้าถึงยาฟาวิพิราเวียร์อย่างรวดเร็ว โดยกระทรวงสาธารณสุขได้มอบหมายให้องค์การเภสัชกรรมจัดหาจัดซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องไม่ให้ขาด โดยจะใช้อยู่ที่ประมาณ 850,000-1,000,000 เม็ดต่อวัน โดยจำนวนยาที่มีอยู่ในสต๊อกประมาณ 15 ล้านเม็ด กำลังทยอยส่งมอบในเดือนสิงหาคมและกันยายนนี้ รวม 120 ล้านเม็ด และในเดือนตุลาคมถึงธันวาคมนี้ก็มีแผนที่จะจัดหาและส่งมอบเดือนละ 100 ล้านเม็ด
ส่วนการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ในประเทศไทยนั้น อนุชาระบุว่า องค์การเภสัชกรรมสามารถผลิตได้ 5 ล้านเม็ดต่อเดือน และจะเพิ่มการผลิตให้ได้เดือนละ 20-30 ล้านเม็ด โดยขอให้ประชาชนมั่นใจว่าจะมียาฟาวิพิราเวียร์เพียงพอสำหรับผู้ติดเชื้อโควิดอย่างแน่นอน รวมทั้งจะมีการศึกษาและจัดหายาตัวใหม่ๆ ในการรักษาเพิ่มเติมอย่างยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร
อนุชากล่าวต่อไปว่า เมื่อวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้เปิดหน่วยคัดกรองผู้ป่วยโควิดและโรงพยาบาลสนามครบวงจร ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ซึ่งเป็นการดูแลแบบครบวงจร มีหลักๆ อยู่ 4 จุด คือจุดแรก เป็นหน่วยคัดกรองโดยใช้ชุดตรวจ Antigen Rapid Test Kit หรือ ATK โดยหากพบว่าเสี่ยงต่อการติดเชื้อก็จะนำส่งตรวจ RT-PCR ต่อไป โดยจุดที่ 2-4 จะเป็นโรงพยาบาลสนามแห่งแรกที่รองรับผู้ป่วยตามความรุนแรงของอาการ ดูแลผู้ป่วยอาการสีเขียวในรูปแบบ Hospitel จำนวน 1,000 เตียง ส่วนโรงพยาบาลสนามที่รองรับผู้ป่วยสีเหลือง กรุงเทพฯ ให้บริการที่โรงแรมเดอะบาซาร์ แบงค็อก รองรับผู้ป่วยจำนวน 300 เตียง มีระบบออกซิเจนส่งตรงถึงเตียงผู้ป่วย และโรงพยาบาลสนามสำหรับผู้ป่วยสีแดง หรือ ICU สนาม จำนวน 120 เตียง สร้างขึ้นที่บริเวณพื้นที่โล่งของโรงพยาบาลปิยะเวท มีห้องรักษาความดันลบแยกรายผู้ป่วย ตั้งถังออกซิเจนเหลวขนาด 10,000 ลิตร พร้อมห้องฉุกเฉินให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นโมเดลต้นแบบที่ภาคเอกชนจะสามารถเข้ามาดำเนินการร่วมกับรัฐบาลได้