วันนี้ (23 กรกฎาคม) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้เชิญ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมหารือพูดคุยเพื่อยุติประเด็นความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาล เรื่องที่กระทรวงสาธารณสุขจะนำ กัญชา กลับเป็นยาเสพติด หลังจากก่อนหน้านี้พรรคภูมิใจไทยออกมาแสดงความไม่สบายใจถึงประเด็นดังกล่าว
ทั้งนี้ ในวงหารือ นายกรัฐมนตรีแจ้งว่า อยากให้ดำเนินการโดยออกเป็นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เพื่อควบคุมการบังคับใช้กัญชาให้ใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ วิจัย และเศรษฐกิจเท่านั้น
ด้านอนุทินให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุม ครม. ถึงกรณีการพบกับ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระหว่างพาครอบครัวไปพักผ่อนช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ไม่มีการพูดคุยเรื่องกัญชาที่จะถูกนำกลับเป็นยาเสพติดเลยแม้แต่น้อย เพราะไม่ใช่เรื่องของท่าน ซึ่งท่านมาพักผ่อน เรื่องกัญชาเป็นเรื่องของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น และไม่ใช่เรื่องของรัฐบาลด้วยซ้ำ
เมื่อถามว่า มีการร้องขอให้ทักษิณช่วยเคลียร์ปัญหาให้หรือไม่ อนุทินกล่าวว่า ไม่ต้องเคลียร์ ของแค่นี้ พร้อมย้อนถามสื่อว่า “ผมเคลียร์เองไม่ได้หรือ” ส่วนที่เข้าไปคุยกับ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี บอกให้เงียบๆ เดี๋ยวท่านจัดการเอง
ส่วนกรณี พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ระบุว่า การนำกัญชากลับมาเป็นยาเสพติดต้องมีคำอธิบาย หลังจากเอาออกก่อนหน้านี้ อนุทินกล่าวว่า ตนคิดว่าพีระพันธุ์พูดเป็นหลักเป็นเกณฑ์ และได้โทรไปกราบขอบพระคุณท่านที่เข้าใจ ท่านก็บอกว่าติดใจในประเด็นที่ตนติดใจเหมือนกัน ที่คนชุดเดียวกันตัดสินใจไม่เหมือนกัน เมื่อผู้บริหารองค์กรเปลี่ยนไป แม้จะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ แต่ขอข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ถ้ามีข้อมูลที่ยืนยันว่ากัญชาอันตราย เป็นภัยสังคม พวกตนก็พร้อมถอย
เมื่อถามว่า พีระพันธุ์ส่งสัญญาณแบบนี้ พรรคภูมิใจไทยเลิกไม่สบายใจแล้วหรือไม่ อนุทินกล่าวว่า ตนไม่เคยไม่สบายใจ เพราะทำสิ่งที่ถูกต้องทุกอย่าง แต่ที่ไปพบนายกรัฐมนตรีแค่ไม่สบายใจท่าทีของการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
อนุทินกล่าวว่า เรื่องนี้ไม่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง บางทีเราเอานโยบายนำก่อนที่จะศึกษา ก็จะทำให้ข้อมูลไม่ครบได้ ก่อนเอากัญชาออกจากยาเสพติด มติ ป.ป.ส. เป็นเอกฉันท์ แต่ถ้าจะเอากลับมาเป็นยาเสพติดก็ต้องมีข้อมูลมาหักล้าง และเมื่อสักครู่ได้คุยกับอธิการบดี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้บอกว่ามหาวิทยาลัยไปร่วมลงทุนกับต่างชาติกว่า 900 ล้านบาท ถ้าเอากัญชากลับมาเป็นยาเสพติดก็จะฟ้องรัฐบาลและกรรมการ ป.ป.ส. เราพร้อมหรือไม่ แต่ตนไม่พร้อม นอกจากนี้การเปลี่ยนไปมาก็ยังกระทบความมั่นใจกับผู้จะมาลงทุนในประเทศไทย ใครจะกล้ามาลงทุนในไทย เพราะกฎระเบียบเปลี่ยนได้ตลอดเวลา