วันนี้ (29 เมษายน) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าทันทีที่ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางถึงทำเนียบรัฐบาลในเวลา 08.09 น. ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวถึงประเด็นการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลัง ปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยื่นลาออก
โดยนายกรัฐมนตรียิ้มพร้อมกล่าวว่า สวัสดีตอนเช้าครับ สำหรับเรื่องโผ ครม. ก็อย่างที่บอกว่าถ้าทราบท่านจะรู้เองเพราะเป็นเรื่องของขั้นตอน บางครั้งก็ไม่เหมาะสมที่ตนจะพูดก่อนที่จะมีการโปรดเกล้าฯ ลงมา ส่วนเรื่องของปานปรีย์ก็ต้องเคารพในการตัดสินใจของท่าน ส่วนตัวก็รู้จักท่านมาหลาย 10 ปี ลูกก็เป็นเพื่อนกัน และส่วนตัวก็รักชอบกันดี
เมื่อถามว่าหนังสือลาออกของปานปรีย์ส่งไปถึงมือสื่อมวลชนก่อนที่จะถึงมือนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ก็ตามที่ได้ยิน ก็เป็นแบบนั้นแหละครับ ส่วนจะแสดงถึงความไม่พอใจหรือไม่ ตนถือว่าพูดในองค์รวมมากกว่า ในการปรับเปลี่ยนหน้าที่หรือคณะรัฐมนตรีต่างๆ ก็คงมีคนพอใจ ไม่พอใจ สมหวัง ไม่สมหวัง แต่อยากให้โฟกัสสิ่งที่เรามีความสัมพันธ์ด้วยดีกันมา 7 เดือนดีกว่า ในเรื่องที่ท่านทำมาแล้วเป็นประโยชน์กับประเทศชาติ ตนเชื่อว่ารัฐมนตรีคนใหม่ที่จะเข้ามาทำหน้าที่แทนก็จะมาสานต่อในเรื่องดีเหล่านี้
ขอโทษทำให้ ‘ปานปรีย์’ ไม่สบายใจ
นายกรัฐมนตรียังกล่าวต่อด้วยว่า หลังปานปรีย์ลาออกได้ส่งข้อความไปหาท่านในกลุ่มที่เกี่ยวกับการต่างประเทศว่า “ผมขอโทษ ถ้าผมทำให้พี่ไม่สบายใจเรื่องอะไรก็ขอขอบคุณที่ช่วยงานกันมา”
ส่วนก่อนจะปรับออกก็ได้เรียนแล้วว่าเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (26 เมษายน) ตนได้เชิญหลายท่านเข้ามาพูดคุย ท่านปานปรีย์ก็เป็นหนึ่งในหลายๆ ท่านที่ตนเชิญมาพูดคุยกัน ตนเชื่อว่าวันนี้มันเป็นเรื่องการสนทนาระหว่างสองบุคคล ตนมั่นใจว่าตนพูดอะไรไป ตนในฐานะนายกรัฐมนตรีมีความชัดเจนในเรื่องของการที่ตนบอกกล่าวอะไรไป
เมื่อถามว่าตอนนี้มองไปในอนาคตของตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอย่างไร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ก็ต้องมีการทูลเกล้าฯ รายชื่อใหม่ และตามประกาศคณะรัฐมนตรี ภูมิธรรม เวชยชัย จะเป็นผู้ดูแล
มีชื่อรัฐมนตรีใหม่ตั้งแต่เมื่อคืน
ส่วนคนใหม่ที่จะมาดำรงตำแหน่งนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “มองหาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ เพราะยังต้องผ่านคณะกรรมการคัดกรองคุณสมบัติ ไม่อยากบอกไปแล้วและมีความสมหวังหรือผิดหวังอีก ต้องเคารพในแง่ของกระบวนการขั้นตอนต่างๆ ที่มีมา เข้าใจว่าทั้งหมดนี้มีคนสมหวังหรืออาจจะไม่พอใจ ไม่ใช่แค่รัฐมนตรีปานปรีย์ท่านเดียว แต่ผมรับผิดชอบ และต้องมีการพูดคุยกัน”
เมื่อถามว่าคนที่เล็งไว้เป็นคนในพรรคหรือคนนอก นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า พูดลำบาก เพราะจริงๆ แล้วท่านอยู่ในแวดวงของการทูตมาและอยู่ในวงการเมืองด้วย และเป็นเบื้องหลังของพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด และจิตวิญญาณแน่นอนครับว่ายึดโยงกับพี่น้องประชาชน
ไม่จำเป็นควบรองนายกฯ ทุกกระทรวง
เมื่อถามว่าปานปรีย์ระบุว่าจำเป็นจะต้องดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเพื่อการเจรจา นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ก็มีเหตุมีผล แต่ทุกๆ กระทรวงเองก็อยากจะควบตำแหน่งรองนายกฯ หรือไม่ หลายๆ ตำแหน่งก็ต้องมีการประสานกับหลายหน่วยงาน ปัจจุบันก็มีรองนายกฯ หลายท่านแล้ว
“6 ท่านแล้ว ผมเชื่อว่าเพียงพอ และมันมีกี่กระทรวง ถ้าทุกกระทรวงต้องควบรองนายกฯ 9 กระทรวงก็คงเป็นไปไม่ได้ และอย่างที่ผมพูดว่าไม่อยากมาอธิบายอะไรมากมาย แต่รัฐบาลก็มีทั้งรองนายกฯ ควบรัฐมนตรีต่างประเทศ หรือบางรัฐบาลก็ไม่มีรองนายกฯ ควบรัฐมนตรีต่างประเทศเหมือนกัน” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า “ผมเชื่อว่าเราทำงานเป็นทีมได้อยู่แล้ว หากพูดถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการควบผมถือว่าอาจจะไม่จำเป็น แต่หลายๆ เรื่องมุมมองของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป เราเองก็มีวิธีการทำงานที่แตกต่างกันไป แต่เรายึดโยงเรื่องของความเป็นมิตรดีกว่า และก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน แต่อย่างที่ผมเรียน หากผมทำอะไรให้ไม่พอใจ ผมก็ขอโทษท่านไปแล้ว มันเป็นเรื่องของความเห็นต่าง แต่ทั้งหมดนี้ผมรับผิดชอบและก็จะพยายามดำเนินการต่อไปโดยเอาจุดมุ่งหมายของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง”
เสียดายรัฐมนตรีทุกคนที่ปรับออก
เมื่อถามว่ารู้สึกเสียดายบทบาทของปานปรีย์หรือไม่ เพราะถูกชมทั้งจากฝ่ายค้านและรัฐบาล นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตรงนี้ผมเสียดายทุกคนที่ต้องมีการเปลี่ยนออกไป แต่ในบริบทของการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปในทุกๆ ช่วงเวลาที่เราบริหารประเทศก็มีความจำเป็นหรือความต้องการในการแก้ไขปัญหา จึงต้องมีการเปลี่ยนบุคลากรไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริหารหรือฝ่ายนิติบัญญัติ ต้องปรับให้เป็นบุคคลที่มีความเหมาะสมหรือชำนาญมากกว่าไปทำหน้าที่ ไม่ได้หมายความว่าท่านที่ถูกปรับไม่มีความสามารถในการบริหาร แต่อย่างที่บอก รัฐบาลมีอายุ 4 ปี และในอดีตไม่ใช่ว่าท่านออกไปแล้วจะไม่กลับมาอีก เพราะมีหลายเคสที่ออกไปแล้วก็กลับมาอีก
มั่นใจปรับ ครม. ไม่ผิดฝาผิดตัว
เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีพูดมาตลอดว่าถ้าการปรับ ครม. ครั้งนี้มั่นใจใช่หรือไม่ว่าจะไม่ผิดฝาผิดตัว นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มั่นใจ แต่แน่นอนว่ามุมมองของแต่ละคนก็มีความเห็นหรือความเข้าใจในบุคคลนั้นๆ ที่จะมาทำงานแตกต่างกันออกไป ซึ่งตนมั่นใจว่าบุคคลที่จะมาทำงานมีความสามารถ มีความรู้และความเชี่ยวชาญตรงตามกระทรวงทุกอย่าง
มีสมหวัง-ผิดหวัง
เมื่อถามว่าได้มีการเตรียมตำแหน่งปลอบใจให้กับรัฐมนตรีที่ถูกปรับออกบ้างหรือไม่ นายกรัฐมนตรีระบุว่าก็ได้มีการเตรียมไว้ ซึ่งต้องมีการคุยกันภายในพรรค ยืนยันตนไม่มีความขัดแย้งส่วนตัวกับรัฐมนตรีท่านใดท่านหนึ่ง แต่ก็เข้าใจได้ว่าคงมีคนผิดหวัง สมหวัง ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของตนที่ต้องบริหาร เรื่องของความคาดหวัง เรื่องของหน้าที่ใหม่ๆ ควบคู่ไปกับหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
เมื่อถามว่าได้มีการคุยกับ แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ว่าอาจจะเกิดแรงกระเพื่อมขึ้นได้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คุยกันตลอด บางวันก็ 2-3 ครั้ง ในช่วงที่จะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรี ยืนยันมีการรับฟังข้อคิดเห็นจากทุกฝ่าย
บอกหลายคนก็เคียงบ่าเคียงไหล่กันมา
เมื่อถามว่ารัฐมนตรีอีกคนที่พูดถึงในโซเชียลมีเดียคือ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีบทบาทสำคัญในพรรคในช่วงของการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาล นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไม่ใช่แค่ นพ.ชลน่าน คนเดียว แต่ยังมี ไชยา พรหมา อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ พวงเพ็ชร ชุนละเอียด อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็เป็นบุคคลที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาในช่วงของการเลือกตั้ง คุณเคยพูดว่าพี่หมอชลน่านช่วยติวเวลาจะลงพื้นที่ รวมถึงวิธีการปราศรัย เราต่อสู้ด้วยกันมา แต่ยืนยันว่าไม่ได้เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ได้มีความขัดแย้งอะไร เข้าใจว่าคงมีความผิดหวัง แต่เดี๋ยวต้องมีการพูดคุยกัน หวังว่าทุกอย่างจะเดินไปข้างหน้าได้
เมื่อถามว่าสิ่งแรกที่จะพูดกับคณะรัฐมนตรีที่มีการปรับแล้วในการประชุม ครม. ครั้งแรกคืออะไร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตนมีสองขั้นตอน ซึ่งคงจะพูดเป็นการส่วนตัวก่อนว่าตนมีความคาดหวังอย่างไร บางคนมีการรู้จักและทำงานร่วมกันมาแล้ว แน่นอนว่าต้องมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่ต้องปรับปรุง
ขณะเดียวกันตนก็จะฟังว่าทำงานร่วมกันมาแล้วถูกเปลี่ยนกระทรวงหรือเข้ามาใหม่ เห็นว่าตนมีความบกพร่องเรื่องไหนก็จะนำไปพิจารณาในการที่จะแก้ไขและปรับปรุง เป็นเรื่องของการสื่อสารสองทาง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากในแง่ของการพูดคุยเจรจากับรัฐมนตรีที่เข้ามาใหม่
ส่วนในองค์รวมที่จะมีการพูดคุยกันในการประชุม ครม. ครั้งต่อไปแน่นอนว่าต้องพูดถึงประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก รวมถึงเรื่องการประสานงานระหว่างกระทรวงก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะปัจจุบันต้องอาศัยหลายกระทรวงทำงานร่วมกันในการผลักดันข้อกฎหมายและการบริหารราชการแผ่นดิน รวมถึงการผลักดันนโยบายหลักของรัฐบาล
เมื่อถามว่าจุดแข็งและจุดอ่อนของรัฐบาลที่ผ่านมาคืออะไร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ตนคิดว่าไปคุยในที่ที่เหมาะสมดีกว่า แต่ละคนอาจจะไม่ได้อยากให้บอกว่าจุดแข็งและจุดอ่อนคืออะไร เป็นเรื่องที่ต้องเคารพสิทธิส่วนบุคคล เป็นเรื่องของการบริหาร ซึ่งตนก็น้อมรับในเรื่องที่ตนบกพร่อง ทำไม่ถูกต้องหรือทำไม่ดี ตนน้อมรับอยู่แล้ว
ส่วนตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่ต้องมีถึง 3 คน และมีการโยก จักรพงษ์ แสงมณี มาจากตำแหน่งเดิมนั้น ในความเข้าใจของตน เมื่อปานปรีย์เหลือเพียงตำแหน่งเดียว ก็จะได้โฟกัสไปที่เรื่องงานต่างประเทศมากยิ่งขึ้น ความต้องการรัฐมนตรีช่วยอาจจะน้อยลงไป และการที่จักรพงษ์มาเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีก็เป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ว่ามาดูเรื่องงบประมาณ เนื่องจากเคยเป็นเลขานุการรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสมัย กิตติรัตน์ ณ ระนอง ก็มีความชำนาญทางด้านนี้อยู่แล้ว จะช่วยผลักดันนโยบาย ซึ่งเรื่องงบประมาณเป็นเรื่องสำคัญ เพราะงบปี 2567 เพิ่งผ่านสภาผู้แทนราษฎร และผ่านการลงพระปรมาภิไธยทำให้สามารถใช้งบประมาณได้ ซึ่งเหลืออีกประมาณ 5 เดือนเท่านั้นในการใช้งบส่วนนี้
ดังนั้นงบประมาณกว่า 3.3 ล้านล้านบาท ที่ต้องไปใช้ในระยะเวลา 5 เดือนก็มีความท้าทาย ต้องเร่งจัดการโดยเร็ว จึงต้องการคนที่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้ ซึ่งในช่วงบ่ายวันนี้ตนได้เชิญ พิชัย ชุณหวชิร ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รวมถึงอธิบดีกรมบัญชีกลาง เข้าหารือถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการใช้งบประมาณ ยืนยันพยายามทำให้ดีที่สุด และหวังว่าทุกอย่างจะจบลงด้วยดี
พร้อมอธิบายคนไม่พอใจ
เมื่อถามว่าหลังจากนี้จะมีแรงกระเพื่อมมากกว่ากรณีของปานปรีย์หรือไม่ เนื่องจากอาจจะมีความไม่พอใจจากการสลับตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีถามกลับสื่อมวลชนว่าบอกได้หรือไม่ว่าเป็นเรื่องของใครกับใคร ตนจะได้ตอบได้อย่างตรงไปตรงมา ซึ่งเชื่อว่าความไม่พอใจก็คงมีเป็นธรรมดา มีทั้งคนที่พอใจและไม่พอใจ คนที่พอใจคงไม่พูด ซึ่งก็เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็ต้องเคารพกับตำแหน่งที่เข้ามาทดแทน ส่วนเรื่องความไม่พอใจก็เป็นหน้าที่ของตนที่จะต้องอธิบาย ซึ่งอย่างที่ตนบอกว่าก็พยายามหาตำแหน่งหรืองานที่เหมาะสม ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเราเป็นทีมไทยแลนด์ เป็นทีมงานที่เข้ามาทำงานเพื่อประชาชน
เมื่อถามว่าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุดคือการทำงาน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าใช่ครับ ตนพูดมาตลอด และเชื่อว่ารัฐมนตรีทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นคนเก่าหรือคนที่เพิ่งเข้ามาเป็นรัฐมนตรี ก็เข้าใจถึงความเดือดร้อนของประชาชน ดังนั้นการที่เราต้องใช้ตัวชี้วัด ระยะเวลาที่ต้องทำงานให้สำเร็จ เรื่องความซื่อสัตย์สุจริต โดยเอาพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้งคือเรื่องสำคัญที่สุด
เมื่อถามว่าการที่เพิ่มรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเพิ่มมาอีกหนึ่งตำแหน่ง เป็นการเดินหน้าโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต ที่จะต้องมีความรอบคอบและหลังจากนี้จะมีการหารือเรื่องเงินดิจิทัลวอลเล็ตหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จริงๆ แล้วกระทรวงการคลังมีภารกิจเยอะมาก พิชัยก็ควบตำแหน่งรองนายกฯ ด้วย มีภารกิจที่ต้องดูแลหลายอย่าง เชื่อว่าทั้ง 3 คนมีงานล้นมืออยู่แล้ว เผ่าภูมิ โรจนสกุล ว่าที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ก็เคยอยู่กระทรวงการคลังมาก่อน เป็นกำลังสำคัญของพรรคเพื่อไทยในฝ่ายเศรษฐกิจอยู่แล้ว มีความชำนาญอยู่แล้ว ด้วยบุคลิกที่อ่อนน้อมถ่อมตน และเป็นคนน่ารัก เชื่อว่าการทำงานไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ตนให้เกียรติทุกท่านอยู่แล้ว