ใครจะเชื่อว่าอาการข้อเท้าพลิกจากฟุตบอล จะเป็นจุดเริ่มต้นที่เปลี่ยนเด็กหนุ่มคนหนึ่งให้กลายเป็นยอดนักตะกร้อ… จากวันที่ชีวิตเคว้งคว้าง ผิดหวังจากความฝัน และต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ด้วยค่าตัวเพียง 200 บาท
วันนี้ ต้าร์-จักรกฤษณ์ ถิ่นบางบน พิสูจน์ตัวเองจนกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ในลีกมาเลเซีย และก้าวสู่ความภาคภูมิใจสูงสุดในฐานะทีมชาติไทย เรื่องราวการต่อสู้ที่พลิกชีวิตด้วยค่าตัว 200 บาทของเขาเป็นอย่างไร ติดตามได้ที่นี่
จุดเริ่มต้นที่ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ
เดิมทีในหัวใจของต้าร์ไม่เคยมีที่ว่างให้กีฬาตะกร้อเลย เพราะฟุตบอลคือกีฬาชนิดเดียวที่เขารักและขลุกอยู่กับมันได้ทั้งวัน แต่ทว่าจุดเปลี่ยนสำคัญกลับเกิดขึ้นในช่วงเวลาเสี้ยววินาที เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บจากการปะทะจนข้อเท้าพลิก ซึ่งกลายเป็นจุดพลิกผันของชีวิต
นักตะกร้อหนุ่มจากนครปฐมเล่าย้อนความหลังให้กับ THE STANDARD SPORT ว่า “จริงๆ ผมเตะบอลมาก่อนครับ ชอบฟุตบอลมาก แต่พอข้อเท้าพลิก พ่อเลยให้ลองหันมาเตะตะกร้อดู เดาะไปเดาะมาจนเริ่มสนุก ตอนแรกมันยากมาก แต่พอเริ่มจับจังหวะได้ เหมือนมันมีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้ผมอยากลองต่อ และที่สำคัญคือผมไม่อยากเล่นกีฬาปะทะแล้วเพราะกลัวเจ็บอีก”
ต้าร์ เริ่มหัดตะกร้อตอน ป.6 และเพิ่งจะเริ่มจริงจังเมื่อขึ้น ม.1 โดยใช้กีฬาชนิดนี้เป็นใบเบิกทางเข้าโรงเรียนกีฬาจังหวัดสุพรรณบุรี สถานที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นของความฝันและให้ทุกอย่างกับชีวิต
“ตอนไปคัดมีคนมาสมัครเกือบ 100 คน เอาแค่ 20 ความสูง ผมไปคัดตำแหน่งตัวเสิร์ฟ พอได้เข้าไปที่โรงเรียนกีฬา ซ้อมตี 5 ถึง 7 โมงเช้า เรียนหนังสือ แล้วกลับมาซ้อมต่อถึง 3 ทุ่ม อยู่ในระเบียบแบบนี้ 5 ปีเต็ม สิ่งที่ได้มาคือเรื่องวินัย พื้นฐานตะกร้อที่แน่นมาก ผมไม่ใช่คนเก่งที่สุด แต่ผมทำให้โค้ชไว้ใจได้ทุกครั้งเมื่อลงสนาม ตอนนั้นก็เริ่มมีความฝันแล้วว่า อยากเข้ามาเก็บตัวในแคมป์ทีมชาติสักครั้ง เพื่อเรียนรู้จากพวกพี่ๆ ไม่ติดเป็นตัวจริงก็ยังไม่เป็นไร ขอแค่ได้ประสบการณ์”
ตะกร้อเดินสาย กับค่าตัว 200 บาทพลิกชีวิต
หลังจบ ม.6 ต้าร์เข้าสังกัดสโมสรแห่งหนึ่ง ด้วยความหวังว่าจะได้รับการบรรจุรับราชการเพื่อความมั่นคงของชีวิต แต่เมื่อเวลาผ่านไป 4 ปี ความฝันนั้นกลับไม่เกิดขึ้นจริง
“อยู่มา 4 ปี ช่วยทีมได้แชมป์ แต่สุดท้ายไม่ได้บรรจุ ผมตัดสินใจลาออกมา ตอนนั้นชีวิตเคว้งคว้างมากครับ ทั้งผิดหวังแล้วก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะเดินไปทางไหนต่อ”
เขาตัดสินใจกลับไปอยู่สุพรรณบุรีเพื่อไปรักษาแผลใจและทบทวนตัวเอง โดยอาศัยอยู่อาจารย์ผู้ปลุกปั้นที่โรงเรียนกีฬาเป็นเวลาอยู่ 2 เดือน ก่อนจะพบกับจุดเปลี่ยนชีวิตครั้งใหญ่ที่ไม่คาดฝัน
ตัวเสิร์ฟทีมชาติไทยเล่าต่อว่า “ผมต้องกลับไปนับหนึ่งใหม่ จนวันหนึ่งเพื่อนชวนไปเตะตะกร้อเดินสายงานวัดที่พิจิตร บอกว่ามีค่าตัวให้เป็นค่ารถแค่ 200 บาทนะ ผมก็ตอบตกลง ลองดู แล้วนั่งรถตู้จากสุพรรณฯ ไปพิจิตร”
“แมตช์นั้นผมพาทีมเข้ารอบ 4 ทีม ไปเจอทีมของสารวัตรต้น (สมพร ใจสิงหล อดีตทีมชาติ) พี่เขาจำผมได้ เดินมาถามว่าไม่ได้อยู่ทีมเก่าแล้วเหรอ ถ้าไม่มีที่ไป ก็ให้มาอยู่ด้วยกันที่ทีมตำรวจ เดี๋ยวเขาปั้นเอง”
โอกาสจากตำนานตะกร้อไทยทำให้ต้าร์ได้กลับมาโลดแล่นในเวทีตะกร้อไทยแลนด์ลีกอีกครั้ง และครั้งนี้เขาได้แสดงศักยภาพที่แท้จริงออกมา
“ปีแรกผมเล่นให้สโมสรตะกร้อพิษณุโลก ไกรสรราชสีห์ พาทีมจบรองแชมป์ลีก ฤดูกาลต่อมา ช่วยทีมสโมสรตะกร้ออำนาจเจริญ จบอันดับ 3 หลังจากนั้นมีคนทำทีมจากมาเลเซียติดต่อมาหาผมอยากให้ไปเล่นตะกร้องานวัดที่มาเลเซียให้เขาหน่อย”
“ผลงานคงไปเข้าตาแมวมอง มีคนทำทีมจากมาเลเซียติดต่อมา อยากให้ไปช่วยเล่นตะกร้องานวัดที่มาเลเซีย”
แจ้งเกิดบนดินแดนเสือเหลือง ค่าตัวจากหลักร้อยสู่เงินแสน
“ตอนนั้นอายุ 22 ครับ ผมตัดสินใจไปทันที ไปกับน้องอีกคนอายุแค่ 16 ปี เล่นให้ทีมตรังกานู ได้ค่าตัว 10,000 บาท เตะอาทิตย์เดียว ปรากฏว่าเราทำผลงานดีมาก เอาชนะทีมอื่นๆ ที่มีตัวทีมชาติมาเลเซีย รวมถึงทีมของ ซาเฮียร์ รอสดี้ ตัวเสิร์ฟซูเปอร์สตาร์ของพวกเขา จนทะลุเข้ารอบรองฯ คนที่นั่นเริ่มจดจำเราได้”
“จบแมตช์นั้นสโมสรเปรักทีมดังในลีกอาชีพมาเลเซีย ติดต่อยื่นข้อเสนอให้เดือนละ 50,000 บาท เพื่อดึงตัวไปเล่นลีกสูงสุดให้เขา”
ที่มาเลเซีย ต้าร์กลายเป็นปรากฏการณ์ เขาพาทีมเปรักจากทีมท้ายตารางเมื่อฤดูกาลก่อน กลับมาผงาดคว้าแชมป์ลีกสูงสุด (STL) ได้ในทันที เท่านั้นไม่พอ ต้าร์ยังพาทีมเข้าชิงฯ ครบทั้ง 4 รายการ กวาดรางวัลมากมายจนกลายเป็นนักตะกร้อไทยที่แฟนมาเลเซียรู้จักดีที่สุดคนหนึ่ง
“ผมไปคนเดียว ไม่รู้จักใครเลย แล้วเขาให้เกียรติเราลงเล่นเป็นตัวจริงตลอด ผมก็ตอบแทนไปด้วยผลงานในสนาม พาทีมคว้า 2 แชมป์ในปีนั้นเป็นครั้งแรกของสโมสรที่ผ่านเข้าชิงได้ 4 รายการในฤดูกาลเดียว”
“เป็นความรู้สึกมันอธิบายไม่ถูกเลยครับ ถ้าวันนั้นผมปฏิเสธเงินค่าตัว 200 บาท ไม่รู้ชีวิตผมตอนนี้จะเป็นยังไง มันเปลี่ยนชีวิตผมไปไกลมาก เงินเดือน 50,000 ไม่รวมเบี้ยเลี้ยงซ้อม ผมไปอยู่ 2 เดือน มีเงินเก็บเยอะแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน”
ฝันที่เป็นจริง สู่ซีเกมส์ในบ้านเกิด
ความสำเร็จในลีกมาเลเซียคือใบเบิกทางชั้นดี ต้าร์กลับมาเมืองไทยด้วยความมั่นใจ ตระเวนกวาดแชมป์เดินสายโซนอีสานเกือบทุกสนาม จนในที่สุดโอกาสรับใช้ชาติก็มาถึงในวัย 24 ปี เมื่อเขาถูกเรียกเก็บตัวในแคมป์ทีมชาติปี 2024 และหนึ่งปีต่อมา ความฝันสูงสุดของเขาก็เป็นจริง เมื่อได้ลงเล่นทีมชาติเป็นครั้งแรกในศึกเอเชียนคัพที่มาเลเซียเมื่อกลางปีที่ผ่านมา
“ตอนแข่งกับมาเลเซียในบ้านเขา เสียงเชียร์ดังจนหูอื้อ ตื่นเต้นมากครับ แต่สนามนี้เป็นสนามที่ผมคว้าแชมป์ลีกมาเลเซียมาแล้ว ก็พยายามดึงสติจนกลับมาได้ ผมลงทีมชุดเป็นตัวจริงให้ทีมชุด A ช่วยทีมคว้าแชมป์ทีมชุดไปด้วยการเอาชนะทีมของ ซาเฮียร์ รอสดี้ ลงเล่นในทีม A ได้ถึงถิ่น มันคือความภูมิใจที่สุดที่ได้ติดธงครั้งแรกในวัย 25 ปี”
ซีเกมส์ครั้งนี้เจ้าของฉายา ต้าร์ ล่าแต้ม กำลังจะได้ลงแข่งซีเกมส์หนแรกในชีวิต ซึ่งพิเศษยิ่งกว่า เพราะสังเวียนแข่งขันตั้งอยู่ที่จังหวัดนครปฐม บ้านเกิดของเขาเอง
“ไม่คิดไม่ฝันเลยครับว่าจะมีชื่อไปแข่งซีเกมส์ได้ เพราะก่อนหน้านี้คิงส์คัพผมไม่มีชื่อ ดีใจมากครับที่จะได้แข่งในบ้านตัวเอง ครั้งนี้ผมคาดหวังเหรียญทองเพื่ออนาคต และเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ส่วนจะได้เป็นตัวจริงหรือสำรอง หรือจะให้ลงแข่งอีเวนต์ ผมพร้อมเสมอลงเล่นเสมอ เพราะแค่ได้ติดทีมก็ดีใจที่สุดแล้ว”
จากนักเตะเดินสายค่าตัวหลักร้อย สู่นักกีฬาทีมชาติไทยผู้พิชิตลีกมาเลเซีย เรื่องราวของ ต้าร์-จักรกฤษณ์ ถิ่นบางบน คือบทพิสูจน์ว่า ความพยายาม ไม่เคยทรยศใคร และในซีเกมส์ครั้งนี้ เขาพร้อมแล้วที่จะใช้หัวใจนักสู้ นำความสำเร็จมาสู่ทีมชาติไทย
คู่ปรับซีเกมส์
แม้ว่าจะยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า ต้าร์-จักรกฤษณ์ จะลงแข่งขันในอีเวนต์ใด แต่ที่แน่นอนก็คือคู่ปรับตัวฉกาจของทีมเซปักตะกร้อไทย ยังคงเป็นมาเลเซียเหมือนทุกครั้ง โดยเฉพาะประเภททีมเดี่ยวและทีมชุดชาย ซึ่งคู่นี้หากไม่เกิดล็อกถล่มไปเสียก่อน ก็จะโคจรมาในรอบชิงชนะเลิศได้ตลอด
ส่วนขุมกำลังของทีมเสือเหลืองยังคงยกทัพใหญ่แบบจัดเต็มเหมือนเคย นำทัพโดย โมฮัมหมัด ซาเฮียร์ รอสดี้ ตัวเสิร์ฟตัวเก่งระดับซูเปอร์สตาร์, ฟาร์ฮาน บิน อดัม ตัวชงมากประสบการณ์ และ อัซลาน อาเลียส ตัวฟาดมือ 1 ของทีม เป้าหมายของพวกเขาคือการมาล้มทีมไทยและคว้าแชมป์ให้ได้ถึงถิ่น โดยเฉพาะใน 2 อีเวนต์ดังกล่าว ซึ่งถือเป็นไฮไลต์ประจำทัวร์นาเมนต์ของกีฬาตะกร้อ
ส่วนอินโดนีเซียจะเป็นคู่แข่งสำคัญของทีมไทยประเภททีม 4 คน ซึ่งซีเกมส์ 2 หนที่ผ่านมา ทัพเตะลูกหวายแดนอิเหนา ผ่านเข้ามาท้าทายทีมไทยในรอบชิงชนะเลิศ และเมื่อมองดูขุมกำลังของพวกเขาในปีนี้ ยังคงเน้นเรื่องทีมเวิร์ก โดยยึดแกนหลักจากทีมชุดรองแชมป์เมื่อ 2 ปีก่อน นำโดย Andi Try Sandi Saputra, Muh Hardiansyah Muliang และ Rusdi ซึ่งทั้ง 3 คนนี้คือกำลังสำคัญที่ช่วยอินโดนีเซียผ่านเข้ามาถึงรอบชิงฯ มาโดยตลอด
ตะกร้อแข่งที่ไหน ชิงกี่เหรียญทอง
เซปักตะกร้อในซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ชิง 11 เหรียญทอง ประกอบด้วย ทีมชุดชายและหญิง, ทีมเดี่ยวชายและหญิง, ตะกร้อ 4 คน ชายและหญิง, ตะกร้อ 4 คนผสม, ตะกร้อลอดห่วงชายและหญิง, ชินลงชายและหญิง แข่งขันระหว่างวันที่ 9-20 ธันวาคม ที่โรงยิม 4,000 ที่นั่ง เทศบาลนครนครปฐม จังหวัดนครปฐม
สำหรับทีมเซปักตะกร้อไทย ส่งนักกีฬาเข้าร่วมทั้งหมด 30 คน แบ่งเป็น นักกีฬาชาย 15 คน ประกอบด้วย ศิริวัฒน์ สาขา, สิทธิพงศ์ คำจันทร์, กฤษณพงศ์ นนทะโคตร, พรเทพ ถิ่นบางบน, จักรกฤษณ์ ถิ่นบางบน, ทวีศักดิ์ ทองสาย, ธนพล ทรัพย์เย็น, ภูตะวัน โสภา, แสนไกร ดาวเรือง, วรายุทธ์ จันทรเสนา, ราชัน วิพันธุ์, มฤคินทร์ พันธ์มกร, วุฒินันท์ คำเสนา, เสกสรรค์ ทับทอง และ ศิริศักดิ์ อนุลุน
ส่วนรายชื่อนักกีฬาหญิง 15 คน สมฤดี ปรือปรัก, มัลลิกา บุญทด, รัศมี ทองโสด, วิไลวรรณ โคตรพรม, อรทัย สุขประมา, ปณิดา บุญเทียน, วิภาดา จิตพรวน, นิภาภรณ์ สลุบพล, ปริมประภา แก้วคำไสย์, พัชลิน หนุนกลาง, ปาลิดา สีเงิน, มัสยา ดวงศรี, ศิรินันท์ เขียวปัก, แก้วใจ พุ่มสว่างแก้ว และ อรวรรณ ทองห่อ
สำหรับผลงานของทัพตะกร้อไทยในซีเกมส์ครั้งล่าสุดปี 2023 ที่ประเทศกัมพูชา คว้ามาได้ 7 เหรียญทองมากที่สุดในทัวร์นาเมนต์ ขณะที่เป้าหมายในซีเกมส์ครั้งนี้ทัพเตะลูกหวายไทยตั้งเป้าเหมา 11 เหรียญทองจากทุกอีเวนต์ที่ลงแข่ง
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นเจ้าภาพไปด้วยกัน ด้วยการติด Hashtag
#เชียร์ไทยในบ้านเรา #SEAGAMES2025 #ซีเกมส์


