ช่วงเช้าของวันนี้ (20 ธันวาคม) ศาลรัฐธรรมนูญนัดไต่สวนพยานบุคคล กรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งคำร้องขอให้พิจารณาวินิจฉัยกรณี พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อสารมวลชนใดๆ อยู่ในวันที่สมัครรับเลือกตั้ง สส. แบบบัญชีรายชื่อ เป็นเหตุให้สมาชิกภาพ สส. ของพิธาสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) หรือไม่
และศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องนี้ไว้พิจารณาวินิจฉัย และสั่งให้พิธาหยุดปฏิบัติหน้าที่ สส. นับตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2566 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยนั้น ซึ่งศาลได้ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง
เปิดพยาน 3 ปาก ‘พิธา-คิมห์-แสวง’
รายงานแจ้งว่า สำหรับพยาน 3 ปาก เป็นพยานฝั่งผู้ถูกร้อง 2 คน คือ พิธา กับ คิมห์ สิริทวีชัย ผู้ทำหน้าที่ประธานในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ITV เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 และยังเป็นผู้เซ็นรับรองในรายงานบันทึกการประชุม ส่วนพยานอีก 1 คนเป็นฝั่งผู้ร้องคือ แสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ที่ศาลเรียกให้มาไต่สวน
ส่วนประเด็นที่ตุลาการศาลจะซักถามในการไต่สวนคือ บริษัทไอทีวี ในวันที่พิธาได้รับมรดกและถือหุ้นในฐานะทายาทหรือผู้จัดการมรดกนั้น สรุปว่าเป็นสื่อมวลชนใดๆ หรือไม่ กับอีกประเด็นคือในการถือหุ้นนั้นในฐานะอะไร ‘ผู้จัดการมรดก’ หรือไม่ แต่มีข้อมูลว่าเป็นการถือหุ้นในฐานะทายาทโดยธรรมด้วยหรือไม่ในการได้รับมรดกจากบิดา
‘พิธา’ พอใจชี้แจงศาลคำร้องถือหุ้น ITV
ขณะที่พิธาเปิดเผยภายหลังการเข้ารับการไต่สวนว่า บรรยากาศระหว่างการไต่สวนเป็นไปตามที่คาดหวัง พอใจกับกระบวนการ และได้ไต่สวนตามข้อเท็จจริงที่ตั้งใจไว้ทุกประการ
ส่วนรายละเอียดในการชี้แจงที่สามารถเปิดเผยได้ ตนคงให้สัมภาษณ์ไม่ได้เพราะเป็นการละเมิดศาล แต่ในส่วนข้อเท็จจริงที่สื่อมวลชนได้เคยนำเสนอเกี่ยวกับการยุติจากประกอบกิจการไอทีวี หรือสถานะผู้จัดการมรดกของตนเองก็ได้รับการไต่สวนจากศาลและฝ่ายกฎหมายของผู้ร้องและผู้ถูกฟ้องครบถ้วน แต่ตนไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
แต่สิ่งที่จะให้สัมภาษณ์ได้คือพอใจและเป็นไปตามที่หวังไว้ทุกประการ ซึ่งสามารถบอกได้แค่นี้ ส่วนรายละเอียดขอให้รอการสรุปอย่างเป็นทางการจากทางสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ หลังจากนี้ไม่มีการนัดไต่สวนโดยจะมีการนัดตัดสินหรือการอ่านคำวินิจฉัยเลย
มั่นใจกลับมาทำหน้าที่ สส. ทันทีหากพ้นข้อกล่าวหา
เมื่อถามถึงความมั่นใจว่าก่อนที่จะเดินทางเข้ามาให้การไต่สวนและหลังออกมายังมั่นใจเหมือนเดิมหรือไม่ พิธากล่าวว่า ยังมั่นใจเหมือนเดิม มั่นใจว่าได้ทำตามหน้าที่ในฐานะผู้ถูกฟ้องอย่างเต็มที่แล้ว
ส่วนความคาดหวังต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตนไม่ได้คาดหวังอะไร แต่มั่นใจว่าจะได้รับความเป็นธรรมและความยุติธรรม ในกรณีนี้หากคำพิพากษาเป็นคุณ ก็หวังว่าจะกลับไปทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทันที
เมื่อถามว่าประเด็นที่ศาลได้ไต่สวนได้ถามครบถ้วนหรือไม่ พิธากล่าวว่า เป็นในเรื่องของรายละเอียด แต่ตนรู้สึกพอใจกับกระบวนการของศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้
ยันแสดงเจตนาสละ ไม่รับมรดกหุ้น ก่อนร่วมพรรคอนาคตใหม่
เมื่อถามอีกว่า ย้อนกลับก่อนการลงรับสมัครเลือกตั้ง สส. ได้ถือหุ้น ITV ไว้หรือไม่ พิธากล่าวว่า เป็นการถือแทนในฐานะผู้จัดการมรดก แต่ในส่วนรายละเอียดอยู่ในชั้นศาล ตนไม่อยากที่จะละเมิดศาล แต่ก็ยืนยันว่าเป็นการถือแทนน้องชาย ซึ่งได้สละเจตนาตั้งแต่ก่อนอยู่พรรคอนาคตใหม่ และมีการปันทรัพย์มรดกกัน ตนจะตอบมากกว่านี้ไม่ได้ แต่ข้อนี้ก็เป็นหนึ่งในข้อที่มีการพูดคุยกัน ถ้าตอบไปจะเป็นการชี้นำสังคมและเป็นการละเมิดศาล
เมื่อถามว่า ไอทีวีได้ยุติการออกอากาศแล้วสามารถกลับมาทำสื่อได้อีกครั้งหรือไม่ พิธาระบุว่า ถ้าตามเอกสารก็ต้องดูที่คิมห์ เพราะเคยได้พูดคุยกันในที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งเรื่องนี้ขอให้ถามคิมห์ น่าจะเหมาะสมมากกว่า ส่วนตัวจะไปพูดแทนไม่ได้ แต่ถ้าได้ดูตามเอกสารที่ออกมาก็จะเห็นว่าไอทีวีได้ยุติการประกอบกิจการไปตั้งแต่ปี 2550 ทรัพยากรอีกครึ่งหนึ่งก็ไปอยู่ไทยพีบีเอส แล้วตอนนี้ใบอนุญาตก็ไม่มี เพราะฉะนั้นการจะกลับมาประกอบกิจการเดิมก็ต้องมีทั้งคดีความที่เกี่ยวโยงกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี หรือ สปน. ที่ศาลปกครองสูงสุด รวมถึงคลื่นความถี่ที่ไม่มีแล้ว ใบอนุญาตประกอบกิจการ ที่สอบถามไปยัง กสทช. ก็ไม่มี
สำหรับคำพิพากษาผู้จัดการมรดกต้องมาจากศาลแพ่ง ส่วนที่เหลือเป็นการปันทรัพย์ที่มีการส่งข้อมูลทางดิจิทัลซึ่งสามารถเห็นได้ว่าฝ่ายนั้นถูกสร้างขึ้นมาเมื่อไร และเรื่องของแสตมป์อากรก็ได้ชี้แจงไปแล้วครบทุกอย่าง
24 มกราคม 2567 ชี้ชะตา ‘พิธา’ ปมถือหุ้น ITV
ล่าสุด วันนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้นัดเข้ารับฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 24 มกราคม 2567 เวลา 14.00 น.