วันนี้ (1 กรกฎาคม) ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส. กทม. พรรคก้าวไกล และ ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ร่วมหารือกับ ชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และคณะ
โดยพิธากล่าวว่า วันนี้จะมาหารือกับประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฯ หลังพบว่าการท่องเที่ยวหายไปร้อยละ 30-40 แม้นักท่องเที่ยวจีนจะฟื้น แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นการท่องเที่ยวในประเทศ
ทั้งนี้ หากหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน ยังไม่รู้ว่าจะทำงานต่ออย่างไร ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะลงทุนหรือไม่ลงทุน สามารถมาแลกเปลี่ยนหารือกับ 8 พรรคร่วมตั้งรัฐบาลได้
พิธายังกล่าวว่า ตนได้ดูสถิตินักท่องเที่ยวจีนที่เริ่มท่องเที่ยวหลังโควิดเท่ากับก่อนโควิด แต่ยังเป็นการท่องเที่ยวภายในประเทศ สูงขึ้น 2 เท่าตัวเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา แปลว่าเขาพร้อมที่จะท่องเที่ยวแต่ยังไม่ออกนอกประเทศ จึงต้องมาหารือกันว่าสาเหตุเกิดจากอะไร เราจะจัดสรรพอร์ตโฟลิโอของนักท่องเที่ยวแบบปี 2019 และจะทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวกระจายทั้งมหภาคและจุลภาค เพราะมีความสำคัญกับเศรษฐกิจพอสมควร ซึ่งการที่นักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศเป็นการใช้จ่ายแบบเงินสด ทำให้เกิดการหมุนเวียน เมื่อเทียบกับภาคอุตสาหกรรม กว่าจะผลิตส่งถึงเก็บเงิน ทำให้เงินหมุนช้า ดังนั้นการท่องเที่ยวจึงมีความสำคัญ
ทั้งนี้ ตนจะเอาประสบการณ์ที่เคยทำงานในภาคเอกชน การทำงานที่ ส.ส. และกรรมาธิการงบประมาณ เพื่อนำงบมาเปรียบเทียบกับ GDP ที่มาจากการท่องเที่ยวเพื่อให้เห็นตัวเลข ซึ่งการทำงานต้องบูรณาการกัน ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ต้องทำงานให้เป็นองคาพยพเดียวกัน
นอกจากนี้ พิธายังกล่าวในที่ประชุมช่วงหนึ่งว่า การท่องเที่ยวไทยก่อนและหลังโควิดไม่เหมือนกัน จากที่เคยเป็น ส.ส. ได้เห็นงบประมาณด้านการท่องเที่ยว แม้วันนี้จะเป็นการประชุมกันครั้งแรก แต่ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ท่านอาจจะมีคำถามฝากไว้ให้ผม ผมอาจจะมีคำถามฝากไว้ให้ท่าน ประชุมครั้งหน้า เพื่อดำเนินงานต่อไปได้ พร้อมย้ำถึงกรอบคิดเรื่องการท่องเที่ยวว่า เราต้องจินตนาการการท่องเที่ยวไทยใหม่ใน 2 -3 กรอบ คือการคิดในระดับมหภาคและจุลภาค
โดยในระดับมหภาคคือตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในไทยช่วงก่อนและหลังโควิด ซึ่งสองส่วนไม่เหมือนกันแม้แต่นิดเดียว เราจะต้องจัดสรรพอร์ตโฟลิโอว่าอยากได้นักท่องเที่ยวจากที่ไหน กลุ่มไหนมาในประเทศไทยเราต้องมานั่งคิดกัน ส่วนระดับจุลภาคตนอยากให้กระจายออก ไม่กระจุก เพราะทุกวันนี้ร้อยละ 75 ของนักท่องเที่ยวยังกระจุกตัวอยู่ใน 5 เมืองใหญ่
เมื่อเกิดการกระจุกตัว ปัญหาคือเขาจะอยู่ไม่นาน ใช้เงินไม่เยอะ หากมีการกระจายออกก็จะเกิดการเดินทาง การใช้จ่าย นี่เป็นความตั้งใจของเรา ขณะเดียวกันก็จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากด้วย
อย่างไรก็ตาม ต้องคิดถึงอุปสงค์ อุปทาน ทุกอย่างต้องบูรณาการกัน เช่น ซัพพลายการท่องเที่ยว ทั้งไกด์ มัคคุเทศก์ แรงงาน เน้นการพัฒนาศักยภาพเพื่อรองรับการท่องเที่ยวให้เกิดความยั่งยืน ซึ่งตนเชื่อมั่นว่าหากเราทำครบทั้งองคาพยพ เชื่อว่าการท่องเที่ยวหลังโควิดในประเทศไทยดีกว่าเดิม ไปต่อได้ และยั่งยืนกว่าเดิม
ด้านชำนาญกล่าวว่า เรารู้สึกมีความหวังขึ้นมา ตื่นเต้นที่ได้มีโอกาสมาแลกเปลี่ยนพูดคุยกัน ซึ่งมีตัวแทนมาจากทั่วประเทศ อีกทั้งเรามีเรื่องในใจที่จะนำมาเสนอ และหากสมาชิกคนใดมีข้อเรียกร้องอะไรจะต้องบอกแนวทางในการแก้ไขด้วย