วันนี้ (25 สิงหาคม) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวขณะหาเสียงเลือกตั้งซ่อมว่า พรรคก้าวไกลจะเป็นฝ่ายค้านเชิงรุก ยังมีหลายนโยบายที่ทำงานได้โดยการผลักดันกฎหมายเข้าสภา และยังมีกฎหมายสำคัญสำหรับชาวระยอง เช่น กฎหมายสิ่งแวดล้อม PRTR และกฎหมายแรงงาน ซึ่งจะเป็นการทำงานเชิงรุกเพื่อให้ผลประโยชน์ตกกับประชาชนได้เหมือนเดิม แม้ไม่ 100% แต่หวังว่าจะเป็นการปูทางเมื่อการเลือกตั้งครั้งหน้ามาถึงจะสามารถซื้อใจประชาชนได้มากกว่าเดิม ถ้าตั้งรัฐบาลได้ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงสิ่งที่อยากฝากไปยังนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลใหม่ พิธากล่าวว่า ตนได้โทรไปยินดีกับเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนใหม่ด้วยตัวเองแล้ว ยืนยันว่าวิกฤตของบ้านเมืองไม่ใช่แค่วิกฤตเกี่ยวกับเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม หรือการศึกษาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นวิกฤตศรัทธาของประชาชนที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการได้ฟังเสียงของประชาชนจากการลงพื้นที่ เป็นสิ่งที่ผู้นำคนต่อไปต้องแก้ไข โดยการรวมความคิดของคนในชาติให้กลับมาอยู่เป็นปึกแผ่นเดียวกันได้ และได้ยินเศรษฐาให้สัมภาษณ์ว่า ท่านจะเป็นนายกฯ ของประชาชน ตนก็อวยพรว่าให้ท่านทำได้อย่างนั้นจริงๆ และตราบใดที่ยังคำนึงอยู่ว่าอำนาจอธิปไตยสูงสุดเป็นของประชาชน แล้วทำหน้าที่โดยไม่ได้ใช้อำนาจอย่างเด็ดขาด แต่ฟังเสียงของประชาชน เป็นตัวแทนของประชาชนได้เยอะๆ ก็เชื่อว่าเศรษฐาจะทำได้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การบริหารงานของรัฐบาลเศรษฐาจะทำงานได้ยากหรือไม่ เนื่องจากการจับกันหลายขั้วและอาจมีการต่อรองกันสูง พิธากล่าวว่า คิดว่าคงยากเป็นพิเศษ ก็คงต้องดูโผคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ออกมา สมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรคเพื่อไทยบอกว่าจะออกมาสัปดาห์หน้านั้น ตนก็อยากจะฟังในสิ่งที่ตนและเศรษฐาเคยพูดร่วมกันในเวทีดีเบตหลายๆ เวที ที่พูดเรื่องการปฏิรูปกองทัพ สมรสเท่าเทียม และสุราก้าวหน้า ก็ต้องดูว่าบุคคลใดจะมารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคนที่จะมาดูแลกระทรวงต่างๆ จะเป็นใคร จะผลักดันได้จริงหรือไม่ ซึ่งก็ยังหวังว่าการกู้วิกฤตศรัทธาที่ตนมองว่าเป็นวิกฤตที่เข้ามาเพิ่มเติมตลอด 8 ปีที่ผ่านมา จะเกิดการแก้ไข และเรียกวิกฤตศรัทธาให้กลับมาสู่การเมืองไทย และส่วนตัวก็ยังยืนยันที่จะทำงานตรวจสอบถ่วงดุลเพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ ยุติธรรม และปราศจากคอร์รัปชันให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
เมื่อผู้สื่อข่าวถาม เมื่อเห็นหน้าตาของโผ ครม. เป็นห่วงกระทรวงไหนเป็นพิเศษหรือไม่ พิธาระบุว่า เป็นห่วงทุกกระทรวง เพราะแต่ละกระทรวงมีปัญหาหลายเรื่อง อย่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีปัญหาเรื่องน้ำมันรั่วที่จังหวัดระยอง ทั้งในปี 2556 และ 2565 จึงเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ และเรื่องเศรษฐกิจก็ต้องทำงานแบบมหภาค ต้องมีทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวัฒนธรรม ต้องทำงานร่วมกัน ซึ่งหลายอันก็เป็นห่วงว่าบุคลากรจะเหมาะสมหรือไม่ เพราะพอต่างพรรคกันการแก้ปัญหาไม่ใช่แค่ทีละกระทรวง แต่จะทำงานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำได้หรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่กังวล
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสที่โควตารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะเป็นคนนอก มีความกังวลหรือไม่ พิธาระบุว่า การตั้งรัฐมนตรีจะคนในหรือคนนอกไม่ได้สำคัญ แต่สำคัญที่ว่าสามารถทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ได้หรือไม่ และถ้ามีความคิดที่ตรงข้ามกันกับนิยามของความมั่นคง หรือจะทำอย่างไรให้ประเทศชาติมีความมั่นคง กองทัพจะต้องมีความทันสมัยมากขึ้น เรื่องนี้จึงต้องมีบุคลากรที่เข้าใจเรื่องนิยามทางความมั่นคงที่ท้าทายในศตวรรษที่ 21 จริงๆ ถึงจะทำได้ และทำอย่างไรให้ตรงกับศรัทธาของประชาชนที่เคยให้ไว้ และความท้าทายจากทั่วทุกสารทิศ ดังนั้นจะคนในหรือคนนอกก็คงไม่สำคัญ
