วันนี้ (19 กุมภาพันธ์) ที่อาคารรัฐสภา พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมอภิปรายในญัตติ ขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยเป็นการอภิปราย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งในเบื้องต้นสรุปสาเหตุที่ทำให้ต้องมาอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ. ประยุทธ์ โดยแบ่งออกเป็น 3 ข้อ ได้แก่ 1. รัฐบาลของ พล.อ. ประยุทธ์ ฉ้อราษฎร์บังหลวง เอื้อนายทุน ทำลายนิติรัฐเพื่อพวกพ้องของตนเอง 2. รัฐบาลของ พล.อ. ประยุทธ์ ยุยงปลุกปั่น สร้างความแตกแยกให้คนในชาติ และ 3. รัฐบาลของ พล.อ. ประยุทธ์ ไร้ความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดิน จากนั้นพิธาแจกแจงสาเหตุทีละข้อ
พิธากล่าวว่า ข้อที่ 1 รัฐบาลของ พล.อ. ประยุทธ์ ฉ้อราษฎร์บังหลวง เอื้อนายทุน ทำลายนิติรัฐเพื่อพวกพ้องของตนเอง โดยท่านพูดบ่อยครั้งว่ากฎหมายต้องเป็นกฎหมาย แต่ในความเป็นจริงแล้วภายใต้รัฐบาลนี้กลับมีกฎหมายอยู่ 3 ชุดคือ ชุดที่ 1. เป็นกฎหมายสำหรับคนธรรมดาสามัญชน ที่กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย ชุดที่ 2 เป็นกฎหมายสำหรับคนรวย เจ้าสัว คนใกล้ชิดรัฐบาล พรรคพวก เพื่อนพ้องของ พล.อ. ประยุทธ์ ที่อยู่เหนือกฎหมาย ไล่ไปตั้งแต่เรื่องเล็กๆ อย่างการเบี้ยวภาษี ไปจนถึงเรื่องทุจริตเรื่องใหญ่ๆ แบบเชิงนโยบายที่ทำลายวิถีชีวิตชาวบ้านไปอย่างนิรันดร และ ชุดที่ 3 มีไว้สำหรับผู้ที่เห็นต่างจากรัฐบาล ใครเห็นต่างจากรัฐบาล ตั้งคำถามกับรัฐบาล แทนที่นายกจะตอบคำถาม ก็จะยัดคดี ทำนิติสงคราม ทำลายกันโดยใช้ระบบยุติธรรมเป็นเครื่องมือ
ทั้งนี้ พล.อ. ประยุทธ์ ยังเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่ชัดเจนว่าปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในกองทัพ โกงกินทุกอย่างแม้กระทั่งกางเกงใน ถุงเท้าของทหารเกณฑ์ เบี้ยเลี้ยงผี กินหิน กินดิน ไปจนถึงรถบัส ที่สัญญากับพี่น้องประชาชนว่าจะปฏิรูปกองทัพ วันนี้ผ่านการครบรอบ 1 ปีโศกนาฏกรรมกราดยิงโคราชมาแล้ว แต่การปฏิรูปกองทัพตามสัญญายังไม่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำธุรกิจในกองทัพให้โปร่งใส หรือเรื่องสิทธิมนุษยชนในกองทัพ หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดคือ ในปีที่ผ่านมา ยังมีทหารชั้นผู้น้อย ลูกหลานของใครบางคนต้องมาเสียชีวิตในค่ายทหารไม่น้อยกว่า 6 คนเท่าที่ปรากฏเป็นข่าว
พิธากล่าวต่อว่า ใครที่เป็นพวกพ้อง พล.อ. ประยุทธ์ ไม่ได้เพียงแค่อยู่เหนือกฎหมาย แต่ยังกอบโกยทรัพยากรของประเทศได้ตามอำเภอใจ ดังเช่นกรณีที่ พล.อ. ประยุทธ์ แต่งตั้ง นิพนธ์ บุญญามณี ซึ่งเป็นบุคคลที่มีเรื่องค้างอยู่ที่ ป.ป.ช. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) หลายกรณี เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ใช้อำนาจของตนเองในฐานะต่างๆ เอื้อให้เกิดโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ ซึ่งเป็นโครงการที่ไม่มีความสมเหตุสมผลในการลงทุน แต่เป็นโครงการที่เอื้อประโยชน์ให้กับนายทุนปิโตรเคมี และเอื้อประโยชน์ให้กับนิพนธ์และเครือญาติฟันกำไรจากการซื้อขายที่ดินหลายร้อยล้าน หรือกรณีเจ้าสัวพลังงานไฟฟ้า ที่ปัจจุบันรวยติดอันดับ 1 ใน 5 ของประเทศ แต่ในอดีตเคยถูก คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) เรียกตัวไปปรับทัศนคติ และเกือบจะถูกยกเลิกสัญญาสัมปทานโดยคณะกรรมการที่ตั้งด้วยมาตรา 44 ของ คสช. เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ แต่กลับเขียนด้วยมือลบด้วยเท้า โดยที่เมื่อกลุ่มทุนเจ้านี้เปลี่ยนฝั่งมาอยู่กับเครือข่ายของ พล.อ. ประยุทธ์ ก็กลายเป็นบริษัทพลังงานไฟฟ้าที่ได้สัมปทานต่างๆ มากมาย รวยเป็นแสนล้านในเวลาที่พี่น้องประชาชนต้องมาแบกรับค่าไฟที่แพงในเวลาอันยากลำบาก
“กรณีที่ค้านสายตาประชาชนไปทั่วโลกถึงความไร้นิติธรรมภายใต้การบริหารของ พล.อ. ประยุทธ์ ชัดเจนว่าเป็นมวยล้มต้มคนดู คือการปล่อยให้ลูกคนรวยลอยนวล ในกรณีของ บอส อยู่วิทยา ที่ขับรถ Ferrari ชน ด.ต. วิเชียร กลั่นประเสริฐ เสียชีวิต เป็นการสมรู้ร่วมคิดให้มีการโยกย้ายนายตำรวจที่เกี่ยวข้องกับรูปคดี เพื่อปลอมแปลงแก้ไขหลักฐานเอาผิด ถ่วงเวลาการดำเนินคดี และตั้งใจบิดเบือนข้อมูล เปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาหลบหนี พล.อ. ประยุทธ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ มีอำนาจโดยตรง มีส่วนรู้เห็นให้มีการแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำให้ระบบคุณธรรมในข้าราชการตำรวจพังทลายลง ตำรวจที่ตั้งใจทำงานกลับไม่ได้ดี ตำรวจที่ดีหมดกำลังใจในการทำงาน ตำรวจที่จะได้ดิบได้ดีกลับกลายเป็นตำรวจที่มีตั๋ว ซึ่งเราคงจะคาดหวังให้ท่านไล่จับคอร์รัปชัน คุมพวกพ้องไม่ให้โกงคงเป็นไปไม่ได้ครับ เพราะตัวท่านเองก็ไม่สุจริต ขนาดเรื่องเล็กๆ แบบภาษีค่าไฟค่าน้ำฟรีท่านยังไม่จ่าย ซึ่งผิดประมวลรัษฎากรและ พ.ร.ป. ป้องกันและปราบปรามทุจริต” พิธา กล่าว
พิธากล่าวต่อว่า ข้อที่ 2 รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ ยุยงปลุกปั่น สร้างความแตกแยกให้คนในชาติ ดังที่มีเพื่อนสมาชิกได้อภิปรายเปิดโปงขบวนการ IO (Information Operation) ไปตั้งแต่ปีที่แล้ว และมีการอภิปรายอีกครั้งในปีนี้ รัฐบาลได้ใช้ทหาร ซึ่งเป็นลูกหลานของคนไทย ด้วยภาษีของประชาชนคนไทย พวกเขาควรได้เป็นรั้วของชาติ แต่กลับโดนเอามาทำปฏิบัติการข่าวปลอม สร้างกองทัพไซเบอร์ สร้างบัญชีปลอมขึ้นมาในโลกอินเทอร์เน็ตเพียงเพื่อเอามาอวยตัวเอง เอามาหล่อเลี้ยงคำโจมตีเพื่อทำลายผู้ที่คัดค้านรัฐบาลและพี่น้องในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยุยงปลุกปั่นให้ประชาชนเกลียดชังกัน และสร้างความร้าวฉานภายในครอบครัวและระหว่างรุ่น ในวันที่ประเทศไทยต้องการความสามัคคีมากที่สุด ซ้ำร้ายรัฐบาลยังโกหกต่อสังคมว่าไม่มีปฏิบัติการนี้หลายครั้ง ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริงปรากฏเป็นที่ประจักษ์ว่ารัฐบาลอยู่เบื้องหลังขบวนการนี้ ดังที่ปรากฏข่าวเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาว่าทวิตเตอร์ได้ปิดกว่า 900 บัญชีในไทย โดยทวิตเตอร์ระบุว่าบัญชีเหล่านี้โดนสั่งปิดถาวร เพราะมีกองทัพบกไทยอยู่เบื้องหลัง และเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการ IO มีอยู่ 4 เป้าหมายด้วยกัน 1. อวยตัวเองในเพจของกองทัพ 2. เข้าไปอวย พล.อ. ประยุทธ์ 3. เบี่ยงประเด็นจากข่าวการสังหารหมู่ที่โคราช และ 4. บดขยี้อดีตพรรคอนาคตใหม่
“แน่นอนว่าปฏิบัติการ IO ไม่ใช่เรื่องใหม่ และเป็นศาสตร์ในการทำสงคราม ดังที่กองทัพเคยเขียนไว้ในวารสารเสนาธิปัตย์เมื่อปี 2560 ว่า ‘กระสุนทุกนัดต้องมีงาน IO รองรับ’ แต่เมื่อกองทัพภายใต้รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ ใช้ปฏิบัติการ IO แบบนี้กับประชาชนแล้ว ทำให้ผมคิดเป็นอื่นไม่ได้จริงๆ ว่าสำหรับ พล.อ. ประยุทธ์ แล้ว ประชาชนคืออะไร เป็นอริราชศัตรูที่ต้องปราบปรามด้วยยุทธวิธีการสงครามหรือไม่ เป็นกลุ่มคนที่ต้องถูกทำให้แตกแยกเพื่อให้ปกครองได้ง่าย ในสายตา พล.อ. ประยุทธ์ ประชาชนไม่ได้เป็นเจ้าของประเทศเลยแม้แต่น้อย” พิธา กล่าว
พิธากล่าวว่า ข้อที่ 3 รัฐบาลของ พล.อ. ประยุทธ์ ไร้ความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดิน ในปีเดียวประเทศไทยมีคนจนเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านคน ด้วยความไร้ความสามารถของ พล.อ. ประยุทธ์ ที่บริหารเศรษฐกิจแบบเช้าชามเย็นชาม ไร้วิสัยทัศน์ ไร้ยุทธศาสตร์ เป็นยุคที่คนตกงานเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าภายในปีเดียว เป็นยุคที่หนี้ครัวเรือนมีมูลค่าสูงถึง 90% ของมูลค่าเศรษฐกิจทั้งประเทศ ถ้ารัฐบาลจะอ้างว่าตัวเลขเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะโควิด-19 ความจริงเศรษฐกิจไทยวิกฤตมาตั้งแต่ก่อนมีโควิด-19 แล้ว และเมื่อเกิดการระบาดโควิด-19 ในประเทศไทยทั้งสองระลอก ซึ่งก็มาจากคลัสเตอร์สนามมวยของกองทัพบก ทำให้ทั้งประเทศต้องล็อกดาวน์ รวมถึงความผิดพลาดการบริหารตะเข็บชายแดนหละหลวม ละเลย ปล่อยให้คนเดินทางข้ามชายแดนไทยอย่างปราศจากการควบคุม เกิดจากความลูบหน้าปะจมูก ปล่อยให้เกิดคลัสเตอร์โควิด-19 จากบ่อนการพนันอีก จนคนไทยต้องถูกล็อกดาวน์อีกครั้งหนึ่ง
“คนไทยจะกลับมาทำมาหากินได้ต้องมีวัคซีน ทั่วโลกตอนนี้ฉีดไปแล้ว 186 ล้านเข็ม แต่ยังไม่มีคนในประเทศไทยได้แม้แต่คนเดียว วัคซีนคือความมั่นใจ คือเศรษฐกิจปากท้อง ในเอกสารที่ท่านรัฐมนตรีสาธารณสุขเขียนไปของบกลาง 1 พันล้านบาท ก็ระบุไว้ชัดเจนว่าได้วัคซีนเร็วขึ้น 1 เดือน จะได้มูลค่าเศรษฐกิจ 2.5 แสนล้านบาทคืนมา ตอนนี้วัคซีนช้า เสียหายเดือนละ 2.5 แสนล้านบาทเช่นกัน เราต้องถามว่าใครจะเป็นคนรับผิดชอบ ซ้ำร้ายรัฐบาลยังประมาทเลินเล่อ เดิมพันทุกอย่างที่มี ทุ่มกับวัคซีนยี่ห้อเดียว จากบริษัทเดียว ไม่เข้าใจสถานการณ์ ไม่บริหารความเสี่ยง ไม่กล้าตัดสินใจ และถ้าล่าช้า ผิดพลาด หรือไม่ได้ผล ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ ที่ต้องรับผิดชอบแน่ๆ คือ พล.อ. ประยุทธ์ เพราะในวันนี้ที่ไทยได้วัคซีนช้าเกินไป น้อยเกินไป เสี่ยงเกินไป ท่านก็พูดว่าไม่อยากให้คนไทยเป็นหนูทดลอง แต่ถ้าย้อนกลับไปดูเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา รัฐบาลบอกว่ามีเป้าหมายจะให้ไทยเป็นประเทศแรกๆ ของโลกที่ได้รับวัคซีน นี่หมายความว่า พล.อ. ประยุทธ์ บริหารประเทศไม่ได้มีหลักการอะไรเลย พอเหตุการณ์เกิดอย่างหนึ่งก็อ้างอย่างหนึ่ง พอเกิดตรงกันข้ามก็อ้างอีกแบบหนึ่ง แก้ตัวไปวันๆ” พิธา กล่าว
พิธากล่าวอีกว่า แต่สำหรับตนเองแล้ว เห็นว่าสิ่งที่บกพร่องร้ายแรงที่สุดสำหรับ พล.อ. ประยุทธ์ คือเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่เข้าใจหลักการของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และวิธีปฏิบัติของนายกรัฐมนตรีในระบอบนี้ ตลอดระยะเวลาเกือบ 7 ปีที่ผ่านมา พล.อ. ประยุทธ์ ไม่เข้าใจในบทบาทของนายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ ได้ใช้ความกลัวด้วยการใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 นี้ดำเนินคดีกับนักเรียน นักศึกษา และประชาชนที่ร่วมชุมนุมและเรียกร้องการปฏิรูปสถาบัน ซึ่งตนไม่เชื่อว่าการใช้มาตรา 112 อย่างพร่ำเพรื่อจะเป็นผลดีต่อสถาบัน ตรงข้ามคือจะยิ่งสร้างความแตกร้าวมากขึ้นไปอีก ซึ่งที่ผ่านมาตนและพรรคก้าวไกลพยายามใช้สภาแห่งนี้หาทางออกให้กับเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่ก็ถูกอคติบังตากล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังเยาวชนและประชาชน
พิธากล่าวว่า ยังมีเรื่องการอ้างสถาบันเพื่อห้ามคนไปม็อบ เวลามีคนมาชุมนุมประท้วงความผิดพลาดของรัฐบาล มีเรื่องการถวายสัตย์ไม่ครบ ที่ท่านบอกว่าจะรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว มีเรื่องการแก้ร่างรัฐธรรมนูญ 2560 ที่อ้างพระราชกระแสรับสั่งลงมาให้แก้ไขใหม่ ทั้งๆ ที่ร่างรัฐธรรมนูญนั้นผ่านประชามติแล้ว ซึ่งนายกรฐมนตรีที่ดีในระบอบนี้ไม่ควรทำ เพราะหากนายกรัฐมนตรีตัดสินใจที่จะดำเนินการตามพระราชกระแส ก็ต้องเก็บพระราชกระแสนั้นเป็นความลับให้อยู่กับตัวไปจนตาย และดำเนินการไปโดยพร้อมรับผิดชอบด้วยตนเอง ไม่อ้างถึงสถาบัน
พิธากล่าวว่า นายกรัฐมนตรีที่ดีในประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ต้องทำหน้าที่สองอย่างคือ 1. เป็นทั้ง ‘ห้ามล้อ’ ไม่ให้พระราชอำนาจไปขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 2. เป็นทั้ง ‘กันชน’ ไม่ให้เรื่องเสื่อมเสียกระทบไปถึงสถาบัน
พิธากล่าาวอีกว่า เวลานี้ประเทศไทยมาถึงทางสองแพร่ง ถึงเวลาแล้วที่สภาแห่งนี้จะต้องเลือกระหว่าง พล.อ. ประยุทธ์ กับประเทศ ถ้าเราเลือก พล.อ. ประยุทธ์ ตนเกรงว่าเราจะไม่มีประเทศหลงเหลือ ถ้าเราเลือกประเทศ ให้ประเทศไปต่อได้ พล.อ. ประยุทธ์ เป็นสลักแรกที่ต้องถอดออกเพื่อปลดล็อกประเทศไทย ถ้าสภาของเราเลือกโหวตไว้วางใจ พล.อ. ประยุทธ์ ก็หมายความว่าจิตสำนึกของสภาอันทรงเกียรติแห่งนี้เห็นชอบกับความเลวร้ายทั้งปวงภายใต้ พล.อ. ประยุทธ์ เท่ากับเราเห็นด้วยว่าเมื่อลูกมหาเศรษฐีขับรถชนคนตายก็ไม่ต้องมีใครรับผิด เท่ากับเราเห็นว่าไม่ผิดอะไรกับการแทรกแซงคดีที่เกิดขึ้น คนรวยอยู่เหนือกฎหมาย คุกมีไว้ขังคนจน และมนุษย์ไม่ได้มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน นี่จะกลายเป็นจิตสำนึกที่สภาแห่งนี้ประทับตราเห็นชอบ ถ้าสภาเลือก พล.อ. ประยุทธ์ เท่ากับสภาของเราเห็นชอบว่ากองทัพไม่ต้องมีการปฏิรูป ทหารเกณฑ์ตายทุกปีไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทหารเอาปืนในคลังแสงมากราดยิงสังหารหมู่ประชาชนเพราะความกดดันไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ไม่ต้องมีใครรับผิดชอบ กองทัพฉ้อราษฎร์บังหลวงการจัดซื้อยุทธภัณฑ์ หรือการซื้อขายตำแหน่งตำรวจก็เป็นแค่ความจริงของชีวิตที่ต้องยอมรับ ปฏิบัติการ IO กับประชาชนให้แตกแยกด้วยงบประมาณแผ่นดินเป็นสิ่งที่ทำได้ เพราะประชาชนบางส่วนเป็นศัตรูกับรัฐ ถ้าสภาเลือก พล.อ. ประยุทธ์ เท่ากับจิตสำนึกของสภาแห่งนี้เห็นชอบกับการมองอนาคตของชาติเป็นภัยต่อความมั่นคง เอาอนาคตของประเทศไปคุมขังไว้ ในเวลาที่ประเทศของเราต้องการอนาคตมากที่สุด เพียงเพราะว่าคนรุ่นใหม่คิดไม่เหมือนเรา และคนรุ่นก่อนไม่รู้ว่าจะจัดแจงกับคนรุ่นใหม่อย่างไร เท่ากับเราเห็นชอบกับการใช้กฎหมายความมั่นคงร้ายแรง และมาตรา 112 ในการกวาดจับ คุมขัง ปราบปราม นักเรียน นักศึกษา และประชาชน
“ตอนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีและตอนแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อนสมาชิกหลายท่านยังตัดสินใจโดยเกรงอำนาจของ ส.ว. ขอบเขตอำนาจของสภาหลายประการถูกลดทอนไปโดยศาลรัฐธรรมนูญ แต่อำนาจในการไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรียังคงเป็นอำนาจเต็มของสภาแห่งนี้ และถ้าพวกเรากล้า กล้าที่จะร่วมไปกับผม พวกเรามีอำนาจเต็มมือที่จะโหวตเอาชื่อ พล.อ. ประยุทธ์ ออกไปจากสารบบการเมืองไทย ซึ่งก็เป็นสิ่งที่พรรคการเมืองส่วนใหญ่ในสภาแห่งนี้เคยให้คำมั่นสัญญาเอาไว้กับประชาชนของท่านตอนที่หาเสียงเลือกตั้ง เวลานี้ชะตาของประเทศอยู่ในมือของสภาผู้แทนราษฎรอย่างสมบูรณ์ อยู่ที่การลงคะแนนของเพื่อนสมาชิกทั้งสิ้น ไม่มีข้ออ้าง ไม่มีอำนาจใดที่สูงกว่า นี่เป็นวันเดียวในรอบ 7 ปีที่ผ่านมาที่สภาผู้แทนราษฎรจะได้ยืนยันอำนาจตนเอง ที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะได้ประกาศให้ประชาชนเห็นว่านี่คือผู้แทนของราษฎร ไม่ใช่ผู้แทนของ พล.อ. ประยุทธ์ ที่ทำหน้าที่เป็นนั่งร้านให้กับการสืบทอดอำนาจ พอกันทีครับกับ 7 ปีที่ผ่านมา มาร่วมกันยุติฝันร้ายของประเทศไทยไปด้วยกัน ถึงเวลาแล้วที่ทุกท่านจะต้องเลือกประเทศของเรา ร่วมกันถอดถอน พล.อ. ประยุทธ์ ด้วยการโหวตไม่ไว้วางใจจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ให้บริหารประเทศอันเป็นที่รักของเราอีกต่อไปแม้แต่นาทีเดียว” พิธากล่าวในที่สุด
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า