วานนี้ (7 มีนาคม) ดร.พิรงรอง รามสูต คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกิจการโทรคมนาคม ได้เขียนข้อความแสดงความคิดเห็นถึงประเด็นกระบวนการสรรหาเลขาธิการ กสทช. ที่จำกัดการมีส่วนร่วมของ กสทช. โดยระบุว่า
กสทช. มีมติโดยเสียงชี้ขาดของประธาน กสทช. หลังเสียงโหวตของกรรมการ (รวมประธานด้วย) ออกมา 3-3 เท่ากัน ในประเด็นการคัดเลือกเลขาธิการ กสทช. โดยฝั่งหนึ่งเห็นว่าจำเป็นต้องพิจารณาคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้ามาเป็นเลขาธิการกับกระบวนการคัดเลือกไปพร้อมๆ กัน ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งมองประเด็นกระบวนการคัดเลือกแยกขาดจากคุณสมบัติ โดยฝ่ายหลังมองว่าประธานมีอำนาจตามกฎหมายในการกำหนดกระบวนการคัดเลือกเลขาธิการ
ทั้งนี้ โดยอ้างถึงมาตรา 61 ของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 ที่ว่า “ให้ประธานกรรมการ โดยความเห็นชอบของ กสทช. เป็นผู้แต่งตั้งและถอดถอนเลขาธิการ กสทช.”
ในการลงมติวันนี้ สำนักงาน กสทช. โดยอำนาจการบรรจุวาระของประธานได้เสนอกระบวนการคัดเลือกเลขาธิการ กสทช. เป็นวาระเพื่อทราบ และเสนอเรื่องคุณสมบัติเป็นวาระเพื่อพิจารณาแยกจากกัน ซึ่งกรรมการ 3 เสียงที่โหวตให้ถอนวาระการพิจารณาแบบแยกส่วนอย่างนี้ออกไป ตั้งคำถามอย่างชัดเจนต่อการกระทำที่ขัดต่อมติ กสทช. ที่เคยบอกให้รวมทั้ง 2 เรื่องอยู่ในวาระเดียวกัน และต่อข้อเสนอของประธาน กสทช. ที่เสนอให้กระบวนการแต่งตั้งเลขาธิการ กสทช. ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน รวม 5 สัปดาห์ ได้แก่
1. กสทช. เห็นชอบกำหนดคุณสมบัติอื่น ตามมาตรา 61 วรรค 2 ของ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553
2. ประธาน กสทช. ส่งหนังสือเชิญทาบทามผู้ที่มีคุณสมบัติ ใช้เวลา 7 วัน
3. ผู้ประสงค์ส่งหนังสือตอบรับ พร้อมเอกสารแนบคุณสมบัติ คุณสมบัติอื่น ประวัติ ประสบการณ์ และความเหมาะสม ใช้เวลา 14 วัน
4. ประธาน กสทช. คัดเลือกบุคคลที่ผ่านคุณสมบัติและมีความเชี่ยวชาญ ผ่านการสัมภาษณ์และแสดงวิสัยทัศน์ เสนอให้ กสทช. เห็นชอบตามมาตรา 61 วรรค 1 พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 ใช้เวลา 14 วัน
5. กรรมการ กสทช. พิจารณาเห็นชอบรายชื่อตามที่ประธานคัดเลือกมา
(สรุปข้อมูลตามเอกสารที่มีการนำเสนอในที่ประชุมโดยประธาน กสทช.)
แม้กฎหมายหลักของ กสทช. คือ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 และที่แก้ไขเพิ่มเติมฯ จะมีการปรับปรุงแก้ไขถึง 2 ครั้ง แต่สาระที่เกี่ยวกับการคัดเลือกเลขาธิการไม่ได้มีการปรับปรุงแก้ไขแต่อย่างใด ตั้งแต่มีการตั้ง กสทช. มาใน พ.ศ. 2554 มีเลขาธิการ 1 คน โดยผ่านการสรรหาที่มีการออกประกาศซึ่งกำหนดคุณสมบัติและกระบวนการสรรหาที่กรรมการ กสทช. ทุกคนมีส่วนร่วมตลอดกระบวนการอย่างชัดเจน
เมื่อมีการยกร่างรัฐธรรมนูญ และปรับปรุงกฎหมาย ก็มีมติบอร์ด กสทช. ให้เลขาธิการคนเดิมทำงานต่อไป เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านสำนักงาน กสทช. เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และสำนักงาน กสทช. ยังคงสามารถปฏิบัติหน้าที่เพื่อตอบสนองการทำงานของภาครัฐและประชาชนได้อย่างเต็มความสามารถ ซึ่งในกรณีหลังนี้เป็นสถานการณ์พิเศษ และเป็นมติบอร์ด กสทช. ไม่ใช่การใช้อำนาจของประธานแต่เพียงลำพัง
ทั้งนี้ ตำแหน่งเลขาธิการสำนักงาน กสทช. เป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญมาก เพราะ
- เป็นผู้รับผิดชอบการปฏิบัติงานของสำนักงาน กสทช. และเป็นผู้บังคับบัญชาพนักงานและลูกจ้างของสำนักงาน กสทช. ซึ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐที่มีอำนาจหน้าที่ในการรับผิดชอบในการรับและจ่ายเงินรายได้ของสำนักงาน กสทช. ซึ่งมีวงเงินมหาศาล จัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตรวจสอบและติดตามการใช้คลื่นความถี่ ซึ่งเป็นทรัพยากรของชาติ ฯลฯ
- เป็นผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ซึ่งในการปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการ กสทช. เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
- นอกจากนี้ตามกฎหมาย เลขาธิการ กสทช. ยังจะมีตำแหน่งเป็นกรรมการและเลขานุการกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือกองทุน กทปส. ซึ่งต้องรับผิดชอบงบประมาณเงินกองทุน และตามแผนการจัดให้มีบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคมอีกปีละนับหมื่นล้านบาท
และแม้ประธาน กสทช. จะมีอำนาจในการกำกับดูแลสำนักงาน กสทช. แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเลขาธิการ กสทช. คือเลขานุการของประธาน แต่จะต้องทำงานเพื่อสนองนโยบายกรรมการ กสทช. ทุกคนอย่างเท่าเทียม
ในฐานะกรรมการเสียงหนึ่งที่โหวตให้ถอนวาระการพิจารณาแบบแยกส่วน และไม่เห็นด้วยกับกระบวนการคัดเลือกที่ประธาน กสทช. นำเสนอและกล่าวอ้างว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของท่านโดยชอบธรรม ดิฉันขอตั้งคำถามและแสดงความกังวลต่อกระบวนการคัดเลือกเลขาธิการ กสทช. ที่จำกัดการมีส่วนร่วมของกรรมการ กสทช. ไว้ในประเด็นต่อไปนี้
- การลดทอนความโปร่งใส ตรวจสอบได้ขององค์กรอิสระ ที่ดูแลกิจการอันเป็นพื้นฐานสำคัญของชาติ การที่ประธานเป็นผู้ส่งหนังสือเชิญทาบทามผู้ที่มีคุณสมบัติให้มาเป็นเลขาธิการ กสทช. นั้นอาจขัดกับหลักการธรรมาภิบาลที่ดีขององค์กร เนื่องจากไม่ได้สะท้อนความโปร่งใสของกระบวนการคัดเลือกที่ควรจะเปิดกว้างและตรวจสอบได้ ด้วยความสำคัญที่สูงมากของตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ดังได้กล่าวไปแล้ว
กระบวนการคัดเลือกยิ่งควรจะสะท้อนความโปร่งใสและเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถเข้าร่วมการคัดเลือก อีกทั้งยังเป็นการลดความเสี่ยงจากการแทรกแซงทางการเมืองและภาคธุรกิจ เพื่อจะเป็นหลักประกันเบื้องต้นว่าเลขาธิการ กสทช. จะปฏิบัติหน้าที่กำกับดูแลกิจการวิทยุกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม อันเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของชาติอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม
นอกจากนี้ ขออนุญาตให้ข้อมูลเพิ่มเติมไว้ด้วยว่า การคัดเลือกผู้บริหารสูงสุดในองค์กรอิสระ หรือองค์กรของรัฐ มักประกาศเปิดรับสมัครเป็นการทั่วไปล่วงหน้า มีระยะเวลาให้ยื่นใบสมัครพอสมควร (15-30 วัน) และมีกระบวนการคัดเลือกที่ชัดเจน โดยออกเป็นกฎหมาย เช่น เลขาธิการคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ตามข้อ 6 ของประกาศ กขค. เรื่อง รับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กขค. (พ.ศ. 2565), ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ตามมาตรา 42 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2561
และเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตามข้อ 6.2 ของประกาศ เรื่องการรับสมัครบุคคลเพื่อเข้ารับการพิจารณาคัดเลือกเป็นบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (พ.ศ. 2566) โดยในข้อ 7.1 ได้กำหนดว่า “คณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนดวิธีการเปิดรับรายชื่อบุคคลเพื่อเข้ารับการคัดเลือกเป็นเลขาธิการ 2 วิธีการ ได้แก่ (1) การเปิดรับสมัครเป็นการทั่วไปตามประกาศนี้ และ (2) การเสนอชื่อโดยกรรมการ ก.ล.ต. โดยแต่ละคนมีสิทธิเสนอชื่อไม่เกินคนละ 1 รายชื่อ”
- การขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การที่ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ มาตรา 61 บัญญัติให้ประธานกรรมการโดยความเห็นชอบของ กสทช. เป็นผู้แต่งตั้งและถอดถอนเลขาธิการ กสทช. ไม่ได้หมายความว่าไม่จำเป็นต้องมีกระบวนการสรรหาที่เปิดกว้างให้ผู้มีคุณสมบัติที่เหมาะสมเข้าสมัครรับการสรรหา อันก่อให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กรมากกว่าการที่ประธาน กสทช. เป็นผู้ส่งหนังสือเชิญ ซึ่งเป็นวิธีการคัดเลือกที่ไม่มีการแข่งขัน อาจเป็นการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม อันขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 27 ที่ระบุว่า “การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่อง… สถานะของบุคคล… การศึกษาอบรม… หรือเหตุอื่นใด จะกระทํามิได้”
ซึ่งศาลได้เคยมีคำพิพากษาเพิกถอนการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมในคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไปแล้วในหลายกรณี ส่งผลให้ตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. อาจมีความสุ่มเสี่ยงกับการถูกฟ้องเพิกถอนการแต่งตั้ง และจะกระทบถึงการปฏิบัติหน้าที่ในอนาคต อีกทั้งการให้ กสทช. ทั้งคณะร่วมพิจารณาคุณสมบัติของเลขาธิการ กสทช. และกระบวนการคัดเลือกไปพร้อมๆ กัน ยังสอดคล้องกับ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ มาตรา 58 และสอดคล้องกับแนวทางการสรรหาเลขาธิการ กสทช. ที่ผ่านมาด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น หากกระบวนการคัดเลือกเลขาธิการ กสทช. สามารถทำได้ในลักษณะตามที่ประธาน กสทช. ได้นำเสนอมาคือ ประธานเป็นผู้ทาบทามและดำเนินการคัดเลือกเป็นหลัก ก็จะเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ที่ไม่สะท้อนแนวปฏิบัติที่ดีของการทำงานแบบองค์คณะ ที่ควรจะมีการมีส่วนร่วมของกรรมการทุกคนอย่างเท่าเทียม
- รายชื่อ กสทช. ท่านที่ 7 ซึ่งเป็นท่านสุดท้าย ได้ผ่านกระบวนการสรรหาและได้ผ่านการเห็นชอบของวุฒิสภาแล้ว ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และขณะนี้อยู่ระหว่างรอการโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก่อนจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ จึงไม่มีเหตุผลที่ประธาน กสทช. ควรจะเร่งทำกระบวนการคัดเลือกเลขาธิการโดยไม่รอกรรมการท่านใหม่นี้ เพราะที่ผ่านมาประธานก็ได้ปล่อยให้ว่างเว้นตำแหน่งนี้มายาวนาน แม้จะมีการทำหนังสือทักท้วงจากกรรมการอย่างน้อย 3 คนตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2565 ก็ไม่ได้ริเริ่มกระบวนการในขณะนั้นแต่อย่างใด
อ้างอิง: