ยกให้เป็นหนึ่งในเรื่องราวมหากาพย์แห่งวงการฮอลลีวูดเลยก็ว่าได้ สำหรับคดีฟ้องร้องระหว่าง จอห์นนี เดปป์ และอดีตภรรยา แอมเบอร์ เฮิร์ด ที่กินเวลายาวนานถึง 6 สัปดาห์ โดยล่าสุดศาลตัดสินให้ จอห์นนี เดปป์ เป็นฝ่ายชนะในคดี และหลุดพ้นจากมลทินต่างๆ ที่อดีตภรรยาเคยกล่าวหาเขาเอาไว้ จนถูกตราหน้าจากสาธารณชนว่าเป็นผู้ทุบตีภรรยา ดังนั้นการพิจารณาคดีในวันพุธที่ผ่านมา (1 มิถุนายน) จึงถือเป็นจุดเปลี่ยนโชคชะตาของตัวเขาเลยทีเดียว
จอห์นนี เดปป์ ยังได้แถลงขอบคุณคณะลูกขุนในวันพุธที่ผ่านมาว่าเขารู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากที่คณะลูกขุนได้มอบชีวิตที่สูญเสียไปนานถึง 6 ปีคืนมาให้กับเขา หลังจากที่ต้องต่อสู้กับคำครหามากมาย อีกทั้งยังต้องสูญเสียโอกาสในหน้าที่การงานเป็นจำนวนมากจากคำกล่าวหาเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบทบาทของ แจ็ก สแปรโรว์
เนื่องในโอกาสที่ จอห์นนี เดปป์ ชนะคดีและได้รับชีวิตในการแสดงของเขากลับมา ทาง THE STANDARD POP จึงอยากเชิญชวนผู้อ่านทุกท่านร่วมรำลึกเรื่องราวของ Pirates of the Caribbean แฟรนไชส์โจรสลัดสุดครื้นเครงและความทรงจำที่มีต่อชายที่ชื่อว่า จอห์นนี เดปป์ ในบทบาทของกัปตันแจ็ก สแปรโรว์ โจรสลัดขี้เมาแห่งทะเลแคริบเบียนที่สร้างภาพจำให้กับผู้ชมมาอย่างยาวนาน
หากพูดถึง Pirates of the Caribbean หลายคนก็น่าจะคุ้นชินกับภาพของกัปตันโจรสลัดขี้เมาคนหนึ่งที่กอดขวดเหล้ารัมเดินเซไปเซมาที่นำแสดงโดย จอห์นนี เดปป์ ที่จะพาเหล่าคนดูไปผจญภัยสุดแฟนตาซีเหนือน่านน้ำในโลกของโจรสลัดพร้อมกับสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนดูทุกครั้งที่เขาปรากฏตัว
โดยในภาคแรกอย่าง Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl ภาพยนตร์ลำดับที่ 1 ของแฟรนไชส์ที่ออกฉายในปี 2003 จะเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกของ จอห์นนี เดปป์ ในบทบาทของกัปตันแจ็ก สแปรโรว์
Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl บอกเล่าเรื่องราวของ แจ็ก สแปรโรว์ กัปตันเรือแบล็กเพิร์ล โจรสลัดที่เก่งกาจและเจ้าเล่ห์แห่งทะเลแคริบเบียน ที่โดนก่อกบฏขโมยเรือโดย เฮคเตอร์ บาร์บอสซ่า นำแสดงโดย เจฟฟรีย์ รัช 1 ใน 9 จอมโจรสลัดแห่งทะเลเคสเปียน พร้อมกับขโมยแผนที่กับแผนเดินเรือไปยังเกาะมรณะเพื่อไปขโมยสมบัติบนเกาะ Isla de Muerta ในระหว่างทางที่เขากำลังตามหาเรือของตนเอง แจ็กก็ถูกจับโดยทหารเรือและได้พบกับชายหนุ่มผู้มีนามว่า วิลล์ เทอร์เนอร์ นำแสดงโดย ออร์แลนโด บลูม ที่ต้องการตามหาหญิงสาวคนหนึ่งนามว่า เอลิซาเบธ สวอนน์ นำแสดงโดย เคียรา ไนต์ลีย์ ที่ถูกจับไปเป็นเชลยบนเรือแบล็กเพิร์ล ทำให้ทั้งคู่ต้องร่วมมือกันเพื่อตามหาสิ่งที่ตนต้องการ
เพียงแค่ฉากเปิดตัวครั้งแรกของกัปตันแจ็ก สแปรโรว์ ก็สามารถสร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้ชมได้เป็นจำนวนมากด้วยการที่เขายืนอยู่บนเสากระโดงเรือในขณะที่เรือกำลังจะจมจนถึงท่าเรือ เรียกได้ว่านอกจากจะเป็นการเปิดตัวที่สร้างความฮือฮาและเสียงหัวเราะให้กับผู้ชมแล้ว แจ็ก สแปรโรว์ ยังทำให้คนดูตกหลุมรักเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่ปรากฏตัวจนกลายเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่คนดูหลงรักมาจนถึงปัจจุบัน
ไม่เพียงเท่านั้น ในภาพยนตร์ Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl ยังมีฉากที่น่าจดจำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้กับ เฮคเตอร์ บาร์บอสซ่า หรือการหลบหนีจากการโดนทหารเรือตามล่าที่ผสมฉากแอ็กชันปนตลกได้อย่างลงตัว
ทำให้หลังจากที่หนังออกฉายก็สร้างกระแสฮือฮาให้กับทั้งคนดูและนักวิจารณ์เป็นจำนวนมาก ดิสนีย์จึงไม่รอช้าเข็นภาคต่อออกมาอย่างรวดเร็วในปี 2006 โดยใช้ชื่อว่า Pirates of the Caribbean: Dead Man’s Chest
Pirates of the Caribbean: Dead Man’s Chest ภาพยนตร์ลำดับที่ 2 ในแฟรนไชส์ ยังคงได้ จอห์นนี เดปป์ กลับมารับบทนำในฐานะกัปตันแจ็ก สแปรโรว์ อีกครั้ง พร้อมกับทีมนักแสดงคุณภาพจากภาคที่แล้วอย่าง ออร์แลนโด บลูม ในบทบาท วิลล์ เทอร์เนอร์ และ เคียรา ไนต์ลีย์ ในบทบาท เอลิซาเบธ สวอนน์ และการเปิดตัวศัตรูคู่อาฆาตของ แจ็ก สแปรโรว์ อย่าง เดวี่ โจนส์ นำแสดงโดย บิล นาย ที่ต่อมาเขาก็ได้กลายเป็นอีก 1 ภาพจำของแฟรนไชส์นี้ด้วยเช่นกัน
Pirates of the Caribbean: Dead Man’s Chest บอกเล่าเรื่องราวของ แจ็ก สแปรโรว์ ที่ติดหนี้เลือดและต้องชดใช้ให้กับ เดวี่ โจนส์ ผู้ทรงอิทธิพลเหนือน่านน้ำมหาสมุทร ผู้เป็นกัปตันเรือฟลายอิ้ง ดัตช์แมน แจ็กที่รู้ดีว่าถ้าตัวเขาไม่อาจคิดหาทางเอาตัวรอดจากสัญญาทาสนี้ได้ เขาจะถูกสาปให้ต้องใช้ชีวิตในฐานะลูกสมุนของ เดวี่ โจนส์ ไปชั่วกัปชั่วกัลป์
และเรื่องนี้เองก็ได้ขัดขวางแผนแต่งงานระหว่าง วิลล์ เทอร์เนอร์ และ เอลิซาเบธ สวอนน์ ผู้ซึ่งพบว่าตัวเองต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวโชคร้ายของแจ็กอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งนำไปสู่การประจันหน้ากับสัตว์ร้ายแห่งท้องทะเล ชาวเกาะที่ไม่เป็นมิตร นักทำนาย เทีย ดัลม่า นำแสดงโดย นาโอมี แฮร์ริส หรือกระทั่งการปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งอย่างน่าฉงนของ บู๊ตสแตร็ป บิลล์ นำแสดงโดย สเตลแลน สการ์สการ์ด พ่อที่หายสาบสูญไปในท้องทะเลของ วิลล์ เทอร์เนอร์
ในขณะเดียวกัน นักล่าโจรสลัดผู้ไร้ความปรานีนามว่า ลอร์ด คัทเลอร์ เบ็คเก็ตต์ แห่งบริษัทอีสต์ อินเดีย เทรดดิ้ง คอมพานี นำแสดงโดย ทอม ฮอลแลนเดอร์ ที่หมายมั่นปั้นมือที่จะคว้าหีบวิญญาณตามตำนานมาไว้ในครอบครองให้ได้ เพื่อให้ตนเองมีอำนาจเหนือ เดวี่ โจนส์ และกำจัดโจรสลัดให้หมดสิ้นไปจากผืนมหาสมุทร เรื่องราวสุดอลหม่านของทั้ง 3 ฝ่ายที่ต้องการจะครอบครองหีบวิญญาณจึงได้เริ่มต้นขึ้น
การกลับมาอีกครั้งของกัปตันแจ็ก สแปรโรว์ ในภาคนี้ยังคงสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับคนดูได้เป็นอย่างมากด้วยการแสดงของ จอนห์นี เดปป์ และองค์ประกอบอื่นๆ ภายในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นทีมนักแสดงจากภาคก่อน ทีมนักแสดงหน้าใหม่ในภาคนี้ รวมไปถึงบทภาพยนตร์ที่มีความหวือหวาในจังหวะจะโคนที่ส่งเสริมเรื่องราวและการเล่าเรื่องของตัวละครให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างเสียงหัวเราะให้กับเราคนดูไปพร้อมๆ กัน ด้วยเนื้อหาที่ราวกับพาเราไปท่องมหาสมุทรและออกผจญภัยร่วมกันกับพวกเขา
Pirates of the Caribbean: Dead Man’s Chest เต็มไปด้วยโมเมนต์ที่น่าจดจำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นฉากในตำนานที่แจ็กวิ่งหนีคนป่า ที่พอย้อนกลับมาดูอีกกี่ครั้งก็สามารถสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับคนดูได้เช่นเคย ฉากต่อสู้บนกังหันน้ำที่สุดแสนจะอลหม่าน ฉากพบกันครั้งแรกของคณะนักเดินทาง แจ็ก สแปรโรว์ และนักทำนาย เทีย ดัลม่า ฉากต่อสู้กับ คราเคน อสูรกายแห่งท้องทะเลที่สุดแสนจะยียวนกวนประสาท และฉากที่เป็นไฮไลต์สำคัญของภาคนี้อย่างการเปิดตัวศัตรูคู่แค้นของ แจ็ก สแปรโรว์ อย่าง เดวี่ โจนส์ และฉากที่ วิลล์ เทอร์เนอร์ ได้พบกับ บู๊ตสแตร็ป บิลล์ พ่อที่หายสาบสูญไปในท้องทะเลของเขาอีกครั้งบนเรือฟลายอิ้ง ดัตช์แมน
ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาข้างต้นส่งผลให้กระแสตอบรับจากทางฝั่งคนดูและนักวิจารณ์ของ Pirates of the Caribbean: Dead Man’s Chest พุ่งทะยานจนถึงขีดสุดในขณะที่หนังออกฉาย ด้วยการทำเงินไปถึง 1,066 ล้านดอลลาร์ จนกลายเป็นภาคที่ทำเงินมากที่สุดในแฟรนไชส์ Pirates of the Caribbean ไปโดยปริยาย
ดิสนีย์ที่มองเห็นถึงโอกาสทองจึงไม่รอช้า รีบเข็นโปรเจ็กต์ภาคต่อลำดับที่ 3 ออกมาในปี 2007 โดยใช้ชื่อว่า Pirates of the Caribbean: At World’s End ซึ่งนับว่าเป็นภาคต่อที่ออกมาเร็วที่สุดในแฟรนไชส์ Pirates of the Caribbean
ถึงแม้จะออกมาเร็วแต่คุณภาพก็ไม่ได้ด้อยลงแต่อย่างใด หนังยังคงได้ จอห์นนี เดปป์ กลับมารับบทนำในฐานะกัปตันแจ็ก สแปรโรว์ อีกเช่นเคย พร้อมกับทีมนักแสดงจากภาคก่อนที่จะมาร่วมสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับคนดูอีกครั้ง โดยในภาคนี้จะเป็นเรื่องราวที่ต่อเนื่องจากภาคที่แล้วอย่าง Pirates of the Caribbean: Dead Man’s Chest อีกด้วย
Pirates of the Caribbean: At World’s End บอกเล่าเรื่องราวของยุคมืดที่กำลังเริ่มคืบคลานเข้ามาเมื่อกาลเวลาของเหล่าโจรสลัดใกล้ถึงจุดสิ้นสุดเมื่อ ลอร์ด คัทเลอร์ เบ็คเก็ตต์ แห่งบริษัทอีสต์ อินเดีย เทรดดิ้ง คอมพานี ได้เข้าควบคุมฟลายอิ้ง ดัตช์แมน เรือโจรสลัดผีอันน่าสะพรึงและกัปตันปีศาจประจำเรือ เดวี่ โจนส์ ล่องทะเลเจ็ดคาบสมุทรเพื่อกำจัดเหล่าโจรสลัด ฆ่า และทำลายเรืออย่างไร้ความปราณี ภายใต้คำสั่งของผู้บังคับการ เจมส์ นอร์ริงตัน นำแสดงโดย แจ็ค ดาเวนพอร์ต
วิลล์ เทอร์เนอร์, เอลิซาเบธ สวอนน์ และการกลับมาอีกครั้งของ เฮคเตอร์ บาร์บอสซ่า ตัวร้ายหลักจากภาคแรก ที่คราวนี้พวกเขาทั้ง 3 คนจะต้องร่วมมือกันและออกเดินทางสู่ภารกิจสุดอันตรายเพื่อรวบรวมเหล่าโจรสลัด พร้อมกับการปรากฏตัวครั้งแรกของ เอ็ดเวิร์ด ทีช ชายผู้เป็นพ่อของ แจ็ก สแปรโรว์ นำแสดงโดย คีธ ริชาร์ดส์ ยอดมือกีตาร์ของวงร็อกระดับตำนาน The Rolling Stones ซึ่งการปรากฏตัวของเขาเป็นเพียงความหวังเดียวที่จะสามารถรวบรวมเหล่าโจรสลัดและต่อกรกับ ลอร์ด คัทเลอร์ เบ็คเก็ตต์ ที่กำลังครอบครองเรือฟลายอิ้ง ดัตช์แมน และเหล่ากองทัพเรือของเขา แต่หนึ่งในสมาชิกของโจรสลัดได้หายตัวไปนั่นก็คือ แจ็ก สแปรโรว์
สิ่งแรกที่เหล่าผู้กล้าทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น เทีย ดัลม่า พินเทล ที่รับบทโดย ลี อาเรนเบิร์ก และ ราเก็ตตี้ ที่รับบทโดย แม็คเคนซีย์ ครูก จะต้องทำก็คือ การออกเดินทางไปสิงคโปร์ที่สุดแสนจะอันตราย และเผชิญหน้ากับกัปตันเรือแห่งคาบสมุทรจีน กัปตันเซา เฟ็ง รับบทโดย โจวเหวินฟะ เพื่อที่จะได้เรือที่สามารถพาพวกเขาไปที่สุดขอบโลกเพื่อช่วยเหลือ แจ็ก สแปรโรว์
เช่นเดียวกันกับ 2 ภาคแรก ใน Pirates of the Caribbean: At World’s End ก็มีเรื่องราวและโมเมนต์ที่น่าจดจำมากมายเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะฉากการปรากฏตัวครั้งแรกของ แจ็ก สแปรโรว์ ต่อหน้าคณะเดินทางหลังออกมาจากโลกหลังความตาย ที่นอกจากจะสร้างเสียงหัวเราะและรอยยิ้มแล้ว ยังทำให้เราคนดูอ้าปากค้างเช่นเดียวกับตัวละครภายในเรื่องเลยทีเดียว ฉากโลกหลังความตายของ แจ็ก สแปรโรว์ ฉากการสู้รบระหว่างโจรสลัดและทหารเรือเพื่อที่จะหยุดยั้ง ลอร์ด คัทเลอร์ เบ็คเก็ตต์ จากการฆ่าล้างเหล่าโจรสลัด ฉากประชุมงานเลี้ยงของเหล่าโจรสลัดที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและมุกตลกโปกฮา ฉากล่องเรือสู้รบกันบนผืนน้ำของคณะแจ็ก สแปรโรว์ และ เดวี่ โจนส์ และฉากไคลแมกซ์ของเรื่องอย่างการดวลดาบตัวต่อตัวบนเสากระโดงเรือฟลายอิ้ง ดัตช์แมน ระหว่าง แจ็ก สแปรโรว์ และ เดวี่ โจนส์ ในศึกสุดท้าย
จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าการแสดงของ จอห์นนี เดปป์ ในฐานะกัปตันแจ็ก สแปรโรว์ ยังคงสร้างเสียงหัวเราะและเป็นที่รักให้กับผู้ชมได้เสมอเวลาปรากฏตัวบนจอภาพยนตร์ ที่ถึงแม้ภาคนี้จะมีการใส่ฉากแอ็กชันมากกว่า 2 ภาคที่ผ่านมา เพื่อปิดฉากเรื่องราวความแค้นระหว่าง แจ็ก สแปรโรว์ และ เดวี่ โจนส์ แต่ผู้ชมก็ยังสามารถเพลิดเพลินไปกับเรื่องราวและฉากแอ็กชันที่แฝงไปด้วยมุกตลกจิกกัดตามสไตล์ของชายที่มีชื่อว่า แจ็ก สแปรโรว์
อีกคนที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ เขาก็คือรองกัปตันเรือผู้ภักดีของ แจ็ก สแปรโรว์ ที่ใครหลายคนรู้จักเขาในนาม กิบส์ นำแสดงโดย เควิน แม็คนัลลี หรือที่แฟนหนังในบ้านเราคุ้นเคยกันในชื่อ ไอ้คุณกิบส์ ที่นอกจากจะอยู่เคียงข้างกัปตันของเขามาอย่างยาวนานถึงภาคที่ 3 กิบส์ยังเป็นอีกหนึ่งส่วนผสมสำคัญที่ทำให้แฟรนไชส์ Pirates of the Caribbean เดินหน้ามาจนถึงตอนนี้ คงจะพูดได้เต็มปากเลยว่าหาก Pirates of the Caribbean ขาดกิบส์ไปแล้วล่ะก็ Pirates of the Caribbean ก็คงจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
หลังจากห่างหายจากการปิดไตรภาคไปถึง 4 ปี ในปี 2011 ดิสนีย์ก็ได้เข็นภาพยนตร์แฟรนไชส์ Pirates of the Caribbean ออกมาอีกครั้งให้แฟนๆ ได้หายคิดถึง โดยใช้ชื่อว่า Pirates of the Caribbean: On Stranger Tides ภาพยนตร์ลำดับที่ 4 ในแฟรนไชส์ ที่ยังคงได้ จอห์นนี เดปป์ กลับมารับบทเดิมในฐานะกัปตันแจ็ก สแปรโรว์ เช่นเคย แต่คราวนี้สิ่งที่แตกต่างออกไปจากไตรภาคก่อนคือการที่ทีมนักแสดงหลักจากไตรภาคแรกอย่าง ออร์แลนโด บลูม ผู้รับบท วิลล์ เทอร์เนอร์ และ เคียรา ไนต์ลีย์ ผู้รับบท เอลิซาเบธ สวอนน์ ไม่ได้กลับมาร่วมแสดงในภาพยนตร์ เรียกได้ว่าเป็นการกลับมาฉายเดี่ยวของ จอห์นนี เดปป์ ในฐานะนักแสดงหลักเพียงหนึ่งเดียวจากไตรภาคแรกเลยก็ว่าได้
พร้อมกับทีมนักแสดงชุดใหม่ที่จะมาสร้างสีสันและขยายเรื่องราวของจักรวาล Pirates of the Caribbean นำโดย เอียน แม็คเชน ที่มารับบทเป็นตัวร้ายหลักของภาคนี้อย่าง แบล็กเบียร์ด และ เพเนโลเป ครูซ ที่รับบทเป็น แองเจลิกา หญิงสาวผู้เคยมีอดีตร่วมกับ แจ็ก สแปรโรว์ และเป็นลูกสาวของแบล็กเบียร์ด นอกจากนี้ยังได้นักแสดงเก่าจากไตรภาคแรกกลับมารับบทบาทเดิมอีกครั้ง เริ่มต้นที่ เจฟฟรีย์ รัช ผู้ที่ในคราวนี้กลับมาในฐานะกัปตันบาร์บอสซ่า แห่งกองทัพเรือพระเจ้าจอร์จที่ 2 แห่งอังกฤษ และ เควิน แม็คนัลลี ที่กลับมารับบทกิบส์อีกครั้งเคียงคู่กับกัปตันของเขาในภาคนี้
Pirates of the Caribbean: On Stranger Tides บอกเล่าเรื่องราวของ แจ็ก สแปรโรว์ ที่ต้องจับพลัดจับผลูออกตามหาน้ำพุแห่งความเยาว์วัยร่วมกับ เฮคเตอร์ บาร์บอสซ่า ที่คราวนี้พวกเขาทั้งคู่จะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แสนร้ายกาจอย่างแบล็กเบียร์ด ผู้ที่ต้องการจะครอบครองน้ำพุแห่งความเยาว์วัยด้วยเช่นเดียวกัน เรื่องราวของการตามหาน้ำพุแห่งความเยาว์วัยและการเผชิญหน้ากันของทั้งสองฝ่ายเพื่อที่จะได้ครอบครองน้ำพุนั้นจึงได้เริ่มต้นขึ้น
ถึงแม้กระแสของ Pirates of the Caribbean: On Stranger Tides จะไม่ได้เป็นที่พูดถึงมากเท่ากับ 3 ภาคแรก แต่สิ่งหนึ่งที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของแฟรนไชส์ Pirates of the Caribbean อย่างกัปตันแจ็ก สแปรโรว์ ก็ยังคงสร้างเสียงหัวเราะและสะกดคนดูได้ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวเหมือนอย่างเคย
แต่จากกระแสตอบรับของ Pirates of the Caribbean: On Stranger Tides ที่ไม่สู้ดีนัก ทำให้ดิสนีย์ทิ้งช่วงพัฒนาโปรเจ็กต์ Pirates of the Caribbean ไปอย่างยาวนานจนแฟนๆ คิดว่าพวกเขาอาจจะไม่ได้เห็น จอห์นนี เดปป์ ในบทบาทการแสดงที่พวกเขารักอีกต่อไปแล้ว
จนกระทั่งปี 2017 ดิสนีย์ก็ได้นำแฟรนไชส์นี้กลับมาอีกครั้งโดยใช้ชื่อว่า Pirates of the Caribbean: Dead Men Tell No Tales ภาพยนตร์ลำดับที่ 5 ในแฟรนไชส์ ที่คราวนี้นอกจากจะได้ จอห์นนี เดปป์ ในฐานะกัปตันแจ็ก สแปรโรว์ กลับมาแล้ว สิ่งที่เซอร์ไพรส์แฟนหนัง Pirates of the Caribbean มากที่สุดตั้งแต่ปล่อยตัวอย่างออกมาให้แฟนๆ ได้ฮือฮากันทั่วโลกก็คงหนีไม่พ้นการกลับมาของ 2 นักแสดงนำหลักจากไตรภาคแรกอย่าง ออร์แลนโด บลูม ในบทบาทของ วิลล์ เทอร์เนอร์ และ เคียรา ไนต์ลีย์ ในบทบาทของ เอลิซาเบธ สวอนน์ ที่ห่างหายไปนานถึง 10 ปี นับตั้งแต่ Pirates of the Caribbean: At World’s End ออกฉาย ที่คราวนี้พวกเขาจะกลับมาสานต่อเรื่องราวการผจญภัยสุดระห่ำบนท้องทะเลพร้อมกับสร้างเสียงหัวเราะให้กับแฟนๆ ร่วมกับ แจ็ก สแปรโรว์ อีกครั้ง
Pirates of the Caribbean: Dead Men Tell No Tales บอกเล่าเรื่องราวด้วยการพาเราย้อนกลับไปในอดีตสมัยที่ แจ็ก สแปรโรว์ ยังเป็นเพียงแค่ลูกเรือฝึกหัด และพาคนดูไปทำความรู้จักกับตัวร้ายหลักของภาคนี้อย่าง กัปตันซาลาซาร์ ที่ปัจจุบันได้หลบหนีออกจากโลกแห่งความตายเพื่อตามฆ่าล้างโจรสลัดทุกคนบนโลก โดยเฉพาะ แจ็ก สแปรโรว์ คู่อริที่เคยมีเรื่องบาดหมางกันในอดีต ทางเดียวที่แจ็กจะเอาชนะได้จึงมีเพียงแค่วิธีการเดียวซึ่งก็คือการครอบครองตรีศูลแห่งโพไซดอน ที่สามารถควบคุมทุกสรรพสิ่งเหนือท้องทะเลได้
แต่เรื่องราวกลับไม่ได้มีเพียงเท่านั้น เมื่อ เฮนรี ทหารหนุ่มชาวบริติช ผู้เป็นลูกชายของ เดวี่ โจนส์ คนใหม่แห่งเรือฟลายอิ้ง ดัตช์แมน หรือก็คือ วิลล์ เทอร์เนอร์ นำแสดงโดย เบรนตัน ทเวทส์ ที่ต้องการจะหาทางแก้คำสาป เพื่อที่เขาจะสามารถพบกับผู้เป็นพ่อได้ ทางเดียวที่เขาจะทำได้สำเร็จคือการตามหาตรีศูลแห่งโพไซดอนเพื่อลบล้างคำสาป เรื่องราวของตรีศูลทั้งหมดจึงตกอยู่ที่ คาริน่า สมิธ หญิงสาวนักดาราศาสตร์ นำแสดงโดย คายา สโคเดลาริโอ ผู้เป็นกุญแจสำคัญหนึ่งเดียวที่จะบอกใบ้ที่อยู่ของตรีศูลที่ทุกคนต้องการได้ เรื่องราวของการแก้คำสาปและหนีจากการตามล่าสุดอลหม่านจึงได้เริ่มต้นขึ้น
ถึงแม้การกลับมาในครั้งนี้ของพวกเขาอาจจะทำได้ไม่ดีนักเท่าที่ควร แต่การที่คนดูได้เห็นนักแสดงที่ชื่นชอบกลับมาในบทบาทที่พวกเขารักอีกครั้ง ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการกลับมาของพวกเขาทุกคนนั้นช่างน่าดีใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะพวกเขาทุกคนล้วนเป็นฟันเฟืองที่สำคัญของแฟรนไชส์ภาพยนตร์ Pirates of the Caribbean ที่ถ้าหากไม่มีพวกเขาก็อาจจะไม่มี Pirates of the Caribbean ที่หลายคนชื่นชอบในทุกวันนี้
และฟันเฟืองที่สำคัญที่สุดก็คงหนีไม่พ้นกัปตันแจ็ก สแปรโรว์ โจรสลัดขี้เมาแห่งทะเลแคริบเบียน ที่สร้างเสียงหัวเราะและมัดใจผู้ชมมาอย่างยาวนานถึง 14 ปี ผ่านฝีมือการแสดงของ จอห์นนี เดปป์ ที่ไม่เพียงแค่ทำให้กัปตันแจ็ก สแปรโรว์ กลายเป็นไอคอนิกของแฟรนไชส์ แต่ยังกลายเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่ทำให้ใครหลายคนหลงรักและจุดประกายความฝันให้กับพวกเขาเหล่านั้นด้วย
จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจที่ จอห์นนี เดปป์ ในบทบาทของกัปตันแจ็ก สแปรโรว์ จะเป็นที่รักและถูกกล่าวถึงบ่อยๆ จากทั้งแฟนๆ และบุคคลทั่วไป
และไม่ว่าคุณจะเป็นแฟน Pirates of the Caribbean หรือไม่ แต่เรามั่นใจว่าหากคุณได้มีโอกาสรู้จักกับโจรสลัดขี้เมานามว่า แจ็ก สแปรโรว์ แล้วล่ะก็ คุณจะต้องตกหลุมรักเขาอย่างแน่นอน
สุดท้ายเราคนดูทุกคนและผู้อ่านทุกท่านขอร่วมเป็นกำลังใจให้กับ จอห์นนี เดปป์ และหวังว่าจะได้เห็นเขากลับมาปรากฏตัวบนจอภาพยนตร์อีกครั้งในเร็ววัน หลังจากที่ต้องต่อสู้และฝ่าฟันอุปสรรคมากมายที่กัดกินชีวิตของเขามาอย่างยาวนานถึง 6 ปี
อ้างอิง: