“เมื่อชายคนหนึ่งติดอยู่ที่ก้นสระว่ายน้ำร้างลึก 6 เมตร ไร้ทางขึ้น พร้อมกับจระเข้อีก 1 ตัว” พล็อตเรื่องแนวระทึกขวัญท้าทายภายใต้สถานการณ์เดียว โลเคชันเดียว กลายเป็นงานสร้างที่หลายคนเฝ้ารอคอยทันทีหลังจากได้ยินและได้อ่าน
ล่าสุดหลังจาก The Pool นรก 6 เมตร เข้าฉายมาครบ 1 สัปดาห์ พร้อมเสียงบอกกล่าวเล่าขานที่มีออกมาทั้งแง่บวกและลบ ซึ่งเราเชื่อเหลือเกินว่า พิง ลำพระเพลิง ที่ทำหน้าที่ทั้งเขียนบทและกำกับภาพยนตร์น่าจะได้รับฟีดแบ็กต่างๆ พร้อมตัวเลขรายได้ล่าสุดของลูกรักที่เขาลงมือปลุกปั้นมากับมือเรียบร้อยแล้ว
และไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ปลื้มเสี้ยวส่วนใดของหนัง ถึงอย่างนั้นเราก็ยังอยากจะไต่ลงไปคุยกับพิงตรงก้นสระว่ายน้ำลึก 6 เมตรอีกครั้งว่า ณ สถานที่ท้าทายแห่งนั้นมีแง่มุมความจริง ความเชื่อ และความฝัน ไปจนถึงตัวตนในฐานะคนเขียนบทและผู้กำกับภาพยนตร์ของเขาซ่อนอยู่ตรงไหนบ้าง
หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องของคนที่ติดอยู่ในสระว่ายน้ำ เป็นเรื่องของคนที่อยู่ในจุดที่ตกต่ำที่สุดของชีวิต และความรักเพียงอย่างเดียวที่ดึงเขาขึ้นมาได้จากจุดตกต่ำนั้น
เคยได้ยินคุณบอกว่า The Pool นรก 6 เมตร คือหนังที่เป็นลูกรักที่สุดของคุณ อันนี้จริงไหม
ความจริงเวลาทำหนังทุกเรื่อง ผมจะรู้สึกว่าเป็นหนังเรื่องสุดท้ายที่ได้ทำนะครับ เพราะฉะนั้นผมจะเต็มที่กับมันทุกเรื่อง แล้วบังเอิญว่านาทีนี้ The Pool นรก 6 เมตร มันคือผลงานเรื่องล่าสุด ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะเป็นเรื่องสุดท้ายหรือเปล่า เราก็เลยต้องเต็มที่กับมันแบบสุดๆ ไปเลยครับ
ที่บอกว่าเต็มที่ทุกเรื่อง คุณเต็มที่กับมันอย่างไรบ้าง
เต็มที่ทุกเรื่องคือไม่เกรงใจนักแสดง ไม่เกรงใจนายทุน ไม่เกรงใจตากล้อง ไม่เกรงใจช่างไฟ อะไรที่เราอยากได้ เราจะขอเขาตลอด เวลาทำงานนี่ยกมือไหว้ตลอดนะ ทุกอย่างที่ปรากฏในหนังคือสิ่งที่ผมอยากได้แล้วจริงๆ เต็มที่แล้วจริงๆ เพราะเราแอบเชื่อว่าชาตินี้คงจะไม่ได้กลับไปรีเมกหนังเรื่องนี้อีกแล้ว ผมว่ารีเมกคงเป็นเรื่องของฮอลลีวูดมากกว่า
คิดไปถึงขนาดว่าฮอลลีวูดอาจจะรีเมกเลยเหรอ นี่พูดเล่นหรือพูดจริง
คุณ… ผมหวังใหญ่ตลอดนะ ผมเขียนเรื่องสั้นเรื่องแรกชื่อ แกงไก่ล้างโลก ผมก็หวังว่าจะได้รางวัลซีไรต์นะ ใครมาสัมภาษณ์ผมก็บอกแบบนี้หมด ขนาด แกงไก่ล้างโลก ผมยังหวังซีไรต์เลย แล้วทำไมหนังอย่าง The Pool ที่สนุกมากๆ ถึงจะไม่หวังให้ฮอลลีวูดซื้อไปรีเมก
หนังเรื่องนี้นะ ถ้าใครได้ดูเขาจะต้องเอาใจช่วยตัวละครยิ่งกว่าเอาใจช่วยฮีโร่หลายๆ คน เพราะตัวผมเองตอนดูพี่เคนเล่นในกองถ่าย ผมไม่อยากสั่งคัตเลย มันสนุกจนเรารู้เลยว่า เฮ้ย เรามีของดีอยู่ในมือแน่ๆ
ถ้ามั่นใจขนาดนี้ ทำไมถึงใช้เวลาตั้ง 10 ปีกว่าจะมีนายทุนสนใจทำ
ที่ผมต้องใช้เวลาถึง 10 ปี ไม่ใช่ว่าผมไม่มั่นใจในบทนะ เพียงแต่ ณ นาทีนั้นการผลิตซีจีในประเทศเรามันอาจจะยังไม่ตอบโจทย์ แต่สำหรับนาทีนี้ซีจีในบ้านเรามันตอบโจทย์หนังเรื่องนี้แล้ว เวลาเราเข้าไปดูหนัง เราจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนจอเต็มที่ มันเหมาะสมที่เราจะนำไปเสนอนายทุน แต่ระหว่างทางก็ไปเสนอมาเรื่อยๆ นะครับ เพียงแต่เราก็ใจตุ้มๆ ต่อมๆ ว่าถ้าได้ทำแล้วซีจีมันจะเอื้อไหมวะ แต่โชคดีที่มีนายทุนสนใจใน พ.ศ. ที่การทำซีจีในประเทศเราพัฒนาไปเต็มที่แล้ว ทุกอย่างเลยลงตัวมาก
ใช้เวลาหานายทุน 10 ปี แต่เคยได้ยินคุณบอกว่าใช้เวลาเขียนบทแค่ 8 วัน
จริงๆ แล้วเราจะนับเฉพาะช่วงวันที่ผมเขียนบทไม่ได้นะครับ เพราะผมเป็นคนเขียนบทเร็ว ผมว่าถ้าจะนับควรต้องนับรวมเวลาในช่วงอายุของผมรวมไปด้วย เช่น ถ้าผมเขียนบทเรื่องนี้ 6 วัน เท่ากับผมใช้เวลาในการเขียนบทเรื่องนี้ 50 ปีกับอีก 6 วัน
6 วันนี้คือช่วงเวลาของการเปิดไฟล์เขียนบท แต่มันมีเวลาที่ผมใช้ชีวิตมาก่อนหน้านั้นอีกเยอะแยะมากมายที่สะสมอยู่ในตัวเรา พูดอย่างนี้แล้วดูหล่อมากเลย
ที่คุณรู้สึกว่าทำไมผมถึงได้ทำอะไรต่างๆ นานา โชคดีจังเลย คือคุณมาเห็นตอนที่ผมได้ทำแล้วไง แต่ในจังหวะที่ผมไม่ได้ทำเนี่ย ความจริงเยอะมากนะที่ผมไปแล้ววืด ผมแค่ไม่หยุดเท่านั้นเอง
สำหรับคุณ อะไรคือความน่าสนใจของ The Pool
ความน่าสนใจของ The Pool ที่ผมรู้สึกว่าผมเก่งนะ (หัวเราะ) ตอนที่เขียนบทเรื่องนี้ ผมตั้งโจทย์ไว้เลยว่า ‘ไม่ไปไหน’ อยู่แต่ในสระว่ายน้ำสี่เหลี่ยมตลอดเวลา 100 นาทีของหนัง มันเป็นเรื่องของคนที่อยู่ในกรอบ อยู่ในจุดที่ตกต่ำสุดๆ ผมอยากรู้ว่าตัวเองจะเขียนบทแบบนั้นได้ไหม แล้วพอเขียนเสร็จ ทาง T Moment ให้โอกาสผมได้ทำหนังเรื่องนี้ มีนักแสดงระดับ เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ มาสนใจบท ผมรู้เลยว่ามันท้าทาย แล้วก็มีคนมาสนุกไปกับผม
ก่อนหน้านี้ผมไม่รู้จักเคนเป็นการส่วนตัวนะ เขาก็ไม่รู้จักผมหรอก แต่คงเคยได้ยินชื่อมาบ้าง ผมโทรไปบอกเขาว่า เคนครับ ผมอยากจะพรีเซนต์หนัง เคนตอบมาว่า ถ้าอย่างนั้นพี่มาหาผมที่บ้านแล้วกัน พอไปถึงผมคุยกับเคนประโยคแรกว่า เคนครับ หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องของคนที่ติดอยู่ในสระว่ายน้ำ เป็นเรื่องของคนที่อยู่ในจุดที่ตกต่ำที่สุดของชีวิต และความรักเพียงอย่างเดียวที่ดึงเขาขึ้นมาได้จากจุดตกต่ำนั้น
เคนถามผมมาว่านอกจากสระว่ายน้ำแล้วมีอะไรอีกไหม ไม่มีเลยเคน หนังเปิดมา 5 นาทีแรก เคนติดอยู่ในสระว่ายน้ำ 100 นาทีเลย เคนอ่านบทก่อนไหม เคนบอกว่า พี่ ผมไม่อ่านบทหรอก ผมเล่น เฮ้ย เขาไม่อ่านบทเลย ผมว่าเขาเป็นนักแสดงที่อ่านขาดนะ เพราะสำหรับประเทศเรา สถานการณ์แบบนี้มันไม่เกิดขึ้นง่ายๆ นะครับ
เคนบอกว่ารับเล่นหนังเรื่องนี้เพราะรู้สึกว่าเป็นบทท้าทาย สำหรับคุณเอง ด้วยบทที่ต้องจำกัดในโลเคชันเดียวและต้องทำหนังให้สนุก ตรงนี้ก็น่าจะเป็นความท้าทายด้วยเหมือนกัน
หนังเรื่อง The Pool เนี่ยผมแบ่งเป็น 2 พาร์ตนะครับ หนึ่งคือผมรู้สึกว่าในส่วนของการเขียนบทมันยากกว่าการกำกับ แต่ขณะเดียวกันในส่วนของการกำกับเนี่ยลำบากกว่าเขียนบท เพราะฉะนั้นพอผ่านส่วนที่ยากไปแล้ว ผมเลยรู้สึกว่าไอ้เรื่องลำบากผมไม่กลัว แต่เรื่องหนักหนาที่สุด ยากที่สุดก็คือทำยังไงให้คนที่ออกเงินให้เราทำหนังเขานึกสนุกไปกับเราด้วย
ผมเชื่อว่ามีบทหนังดีๆ มากมายในประเทศเรานะครับ เพียงแต่บทเหล่านั้นยังไม่สามารถจะโน้มน้าวจิตใจคนที่เขาจะออกเงินให้เราทำได้ เพราะถ้าผมเป็นคนออกเงิน ผมก็หวั่นไหวนะ ถามว่าถ้าผมมีเงินมากมายขนาด 20 กว่าล้าน ผมจะทำไหม ผมก็คิดหนักนะ
ผมถึงรู้สึกว่าคนที่ออกเงินทำหนังนี่อึดมากเลย อย่างถ้าคุณลงทุนทำอย่างอื่นแล้วเกิดเจ๊งขึ้นมา คุณยังเหลือของนะ แต่ถ้าทำหนังเจ๊งขึ้นมา โอ้โห แทบไม่ได้อะไรเลย
ผมว่านายทุนเขารักหนังไม่แพ้คนกำกับ ไม่แพ้ทีมงานนะ เพียงแต่เวลาพูดถึงนายทุน เราก็จะมีภาพบางอย่างที่รู้สึกว่าไม่เหนื่อยเท่าเรา แต่พอได้คลุกคลีมากๆ ทำหนังมา 10 กว่าปี ผมรู้เลยว่าที่เราบอกว่าเหนื่อย จริงๆ แล้วเขาก็ทนแรงกดดันไม่น้อยกว่าเรานะ มากกว่าเราด้วยซ้ำไป
ต้องยกนิ้วให้ วิสูตร พูลวรลักษณ์ (ผู้บริหาร T Moment) เลยไหม
สำหรับประเทศไทยเนี่ย ผมยกนิ้วให้กับคนลงทุนทุกคนเลยนะ ผมรู้สึกว่ามันก่อให้เกิดการสร้างงาน ก่อให้เกิดอนาคต เพราะถ้าไม่มีคนลงทุนในการทำหนังไทย คนในอุตสาหกรรมหนังนี่ตกงานกันระนาว มันจะกระทบกันไปหมดนะครับ
การทำหนังเหมือนซื้อหวยว่ามันจะได้ไปนอกไหม มันจะมีต่างชาติซื้อไปรีเมกไหม มันจะมีคนมาดูไหม โชคดีนะครับที่ยังมีคนยอมลงทุนกับการทำหนังอยู่
ผมว่านายทุนเขารักหนังไม่แพ้คนกำกับ ไม่แพ้ทีมงานนะ เพียงแต่เวลาพูดถึงนายทุน เราก็จะมีภาพบางอย่างที่รู้สึกว่าไม่เหนื่อยเท่าเรา แต่พอได้คลุกคลีมากๆ ทำหนังมาสิบกว่าปี ผมรู้เลยว่าที่เราบอกว่าเหนื่อย จริงๆ แล้วเขาก็ทนแรงกดดันไม่น้อยกว่าเรานะ มากกว่าเราด้วยซ้ำไป ผมเชื่ออย่างนั้น
ตอนเขียนบท คิดง่ายๆ ว่าหนังเรื่องนี้ใช้เงินไม่เกิน 6 ล้าน แต่พอทำจริง คุณเอ๊ย มันกลายเป็นหนังที่ผมใช้เงินไปเยอะที่สุด เพราะเราต้องปล่อยน้ำ ต้องทำสระให้ร้าง ไม่มีคนผ่านไปผ่านมา ต้องใช้อุปกรณ์ต่างๆ เยอะมาก แล้วถ้าไม่ใช้เงินมากขนาดนี้ ภาพทุกอย่างมันจะไม่เกิดอย่างที่ผมอยากได้
ผมเองทำหนังมาสิบกว่าปี สมมติว่าถ้าผมทำ The Pool เป็นเรื่องแรก ผมแอบคิดว่าผมเอาไม่อยู่นะ ตอนเขียนบทผมรู้สึกว่ามันเป็นหนังเล็กๆ ถ่ายง่าย อยู่แต่ในสระว่ายน้ำ แต่พอไปทำจริงๆ โอ้โห ดีเทลมันเยอะแยะมาก
สระกระโดดที่ไม่มีน้ำ ทุกด้านลึก 6 เมตร ถ่ายอยู่กลางแจ้ง เป็นแอ่งกระทะ แดดร้อนตลอดเวลา เฉพาะแค่ประชุมทีมงานว่าจะขนจระเข้ลงไปยังไงวะ แล้วพอหมดวันจะขนขึ้นมายังไงวะ รายละเอียดมันเยอะมาก ปัญหามันเยอะมาก
ผมเป็นคนโชคดีครับ แต่คำว่าโชคดีมันคือคำถ่อมตัวของคนที่มีความสามารถเหมาะสมกับโอกาส ถ้าคุณอยากโชคดีอย่างผม คุณก็ต้องเตรียมความสามารถไว้ให้พร้อม เพราะเราไม่รู้หรอกว่าโอกาสจะมาถึงเราเมื่อไร
คิดว่าตัวเองโชคดีไหมที่มีความฝันอะไร อยากทำอะไรก็มีคนยอมควักเงินลงทุนให้
คำถามนี้ชวนให้ผมตอบแล้วคนเขาหมั่นไส้มากเลยนะ (ยิ้ม) พอคุณถามว่าตัวเองรู้สึกโชคดีไหม ผมรู้สึกว่าผมโชคดีมากๆ เพราะทุกสิ่งที่ผมได้ทำและทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต ผมรู้สึกว่ามันเกินฝัน เกินเอื้อมมากๆ ผมได้ทำหนังในแบบที่ไม่เหมือนชาวบ้าน ผมมีงานเขียนบทต่อเนื่องตลอด อยากแสดงข้างถนนผมก็ได้เล่น อยากทำอะไรผมก็ได้ทำหมด สุขภาพร่างกายผมดีมาก คุณอาจจะรู้สึกว่า เฮ้ย มีแค่นี้ ได้ทำแค่นี้ ทำไมดูภาคภูมิใจเหลือเกิน แต่พูดจริงๆ ว่าผมภูมิใจมาก ผมโชคดีมากๆ ผมมาไกลเกินฝันมากๆ
บทที่ผมเขียนเนี่ย แม่ค้าเอารองเท้าตบหน้ากันในตลาดผมก็เขียน เพราะผมรู้สึกว่างานเขียนบทละครเป็นงานเลี้ยงชีวิต ตราบเท่าที่มันไม่ทำร้ายสังคม แล้วยังทำให้คนมาดูละคร ผมเขียนนะครับ แต่สำหรับงานภาพยนตร์ ผมถือว่าเป็นงานเลี้ยงวิญญาณ ถ้าใครมาขอแก้บทหนังผม ผมไม่ทำนะ แต่ผมจะผมเขียนเรื่องใหม่ไปเสนอ เติมได้ แต่อย่าแก้
คุณคิดว่าทำไม พิง ลำพระเพลิง จึงเป็นมือเขียนบทละครที่มีงานชุกตลอด และถึงเวลาอยากทำหนังก็มีนายทุนกล้าลงทุนให้คุณกำกับหนังด้วยเหมือนกัน
ผมเป็นคนเขียนบทที่เรตติ้งดี ผมไม่ใช่คนเขียนบทที่ดีนะ มีคนที่เขาเขียนบทละครดีกว่าผมเยอะแยะมาก อย่างละครสร้างสรรค์สังคม ละครที่ดูแล้วอิ่มอุ่นหัวใจมีเยอะมาก แต่เรตติ้งไม่ดี แต่บทที่ผมเขียนเนี่ย แม่ค้าเอารองเท้าตบหน้ากันในตลาดผมก็เขียน เพราะผมรู้สึกว่างานเขียนบทละครเป็นงานเลี้ยงชีวิต ตราบเท่าที่มันไม่ทำร้ายสังคม แล้วยังทำให้คนมาดูละคร ผมเขียนนะครับ แต่สำหรับงานภาพยนตร์ ผมถือว่าเป็นงานเลี้ยงวิญญาณ ถ้าใครมาขอแก้บทหนังผม ผมไม่ทำนะ แต่ผมจะผมเขียนเรื่องใหม่ไปเสนอ เติมได้ แต่อย่าแก้
ส่วนที่ถามว่าทำไมผมถึงได้เขียนบท ได้ทำหนัง ได้เล่นหนังเป็นตัวเอก ได้ร้องเพลงประกอบหนัง ฯลฯ คำตอบคือผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนหน้าด้าน ผมไม่กลัวต่อแรงเสียดทาน ผมไม่สนใจ รู้สึกอยากทำผมก็ทำ ผมแอบเชื่อว่ามีคนเก่งกว่าผมอีกเยอะนะ มีคนที่เสียงดีกว่าผมอีกเยอะ คนเขียนบทดีๆ เดินกันเกลื่อนเลยนะครับ แต่เขาอาจจะวิ่งชนไม่เท่าผม
แล้วที่คุณรู้สึกว่าทำไมผมถึงได้ทำอะไรต่างๆ นานา โชคดีจังเลย คือคุณมาเห็นตอนที่ผมได้ทำแล้วไง แต่ในจังหวะที่ผมไม่ได้ทำเนี่ย ความจริงเยอะมากนะที่ผมไปแล้ววืด ผมแค่ไม่หยุดเท่านั้นเอง
ผมเป็นคนโชคดีครับ แต่คำว่าโชคดีมันคือคำถ่อมตัวของคนที่มีความสามารถเหมาะสมกับโอกาส ถ้าคุณอยากโชคดีอย่างผม คุณก็ต้องเตรียมความสามารถไว้ให้พร้อม เพราะเราไม่รู้หรอกว่าโอกาสจะมาถึงเราเมื่อไร
คำว่าเลี้ยงชีวิตกับเลี้ยงวิญญาณนี่น่าสนใจมาก คุณแบ่งลักษณะงานสองอย่างนี้อย่างไรบ้าง
อย่างที่บอกว่าสำหรับผม พิง ลำพระเพลิง มี 2 เวอร์ชัน คือพิงที่เขียนบทละครโทรทัศน์เพื่อเลี้ยงชีวิตกับเขียนบทหนังเพื่อเลี้ยงวิญญาณ เพราะฉะนั้นถ้าบทละครโทรทัศน์เนี่ย จะแก้งานผมยังไง ผมแก้ให้แบบไม่มีอีโก้เลยนะ แต่ถ้าเป็นบทหนังของตัวเอง ผมอีโก้จัดมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าผมให้ความสำคัญกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากหรือน้อยกว่ากันนะครับ ผมเขียนบทละคร ผมเต็มที่กับมัน ถ้าให้ผมแก้ ผมก็แก้อย่างเต็มที่ ผมเขียนบทหนัง ผมก็เต็มที่กับมัน เพียงแค่รู้ว่าผมทำสิ่งไหนเพื่ออะไร
ถ้าคุณไม่หมั่นไส้ผมจนเกินไปนะ ผมเนี่ยโคตรน่าเอาเป็นตัวอย่างเลยนะ ผม 52 แล้ว ผมได้ใช้ชีวิตแบบนี้ ส่วนคุณอยากใช้ชีวิตแบบไหนคุณก็ทำเอาสิ หาตัวอย่างดีๆ แล้วก็ก๊อบปี้เลย แล้วรู้ไหมว่าผมก๊อบปี้ใคร ผมก๊อบปี้ พี่เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ นะเว้ย ผมก๊อบปี้เบอร์หนึ่งของประเทศ!
ที่ผมรู้สึกว่าบทละครโทรทัศน์เป็นงานเพื่อเลี้ยงชีวิต เพราะมันทำให้ผมมีชีวิตที่ดี ผมสามารถซื้อตุ๊กตาตัวใหญ่ๆ ราคาหลายบาทมาเล่นได้ ผมสามารถขับรถดีๆ ผมสามารถอยู่บ้านกลางเมือง มีออฟฟิศที่ตกแต่งอย่างที่ต้องการ
ส่วนที่ผมตามใจตัวเองอย่างเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เวลาเขียนบทหนัง ผมเชื่อว่าส่วนหนึ่งเพราะมีงานเขียนบทละครคอยเลี้ยงชีวิตอยู่ ผมจึงไม่สนใจว่าจะได้ทำหนังเมื่อไร ถ้าเมื่อไรคุณสนุกไปกับผม ผมก็ทำ
หนังบางเรื่องผมทำฟรีนะ ที่เห็นว่าทำไมผมได้เป็นพระเอกหนัง ได้ร้องเพลงประกอบหนัง ได้ทำหลายสิ่งหลายอย่าง เพราะบางเรื่องผมไม่รับค่าเขียนบท ผมไม่รับค่ากำกับ ผมไม่รับค่าแสดงนะ เพราะผมรู้ว่าผมทำเพื่ออะไร ฉะนั้นทำฟรีผมก็ทำ
ผมมีความสุขกับทุกเรื่องในชีวิต ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากเกินกว่าที่จะมานั่งสนใจเรื่องที่มันย่ำแย่ในชีวิต ผมอายุ 52 แล้ว แต่ผมยังได้ใช้ชีวิตแบบนี้อยู่เลย ผมยังแข็งแรง ผมยังได้ทำหนัง ไปไหนยังมีคนเรียกพี่ แค่นี้ผมก็ไม่ต้องอะไรแล้วกับชีวิต
ผมเป็นคนขี้อวด คุณดูเฟซบุ๊กผมสิ ผมอวดกระจาย แต่ถามว่าระหว่างที่อวดมีความสุขไหม ผมมีความสุขกับมัน เพราะผมอวดในสิ่งที่ผมเป็น ผมไม่เคยฝืน
ถ้าไม่บอกอายุก็ดูไม่เหมือนคนอายุ 52 เลยนะ
อย่าบอกว่าผมดูเหมือน 53 นะ (หัวเราะ)
ไม่ๆ หมายถึงยังดูดี เกี่ยวไหมว่าที่ยังดูเป็นหนุ่มเพราะคุณมีมุมมองด้านบวกกับชีวิต
จริงๆ แล้วผมก็มีด้านมืดนะ แต่ผมรู้สึกว่าช่างมันเถอะ ส่วนหนึ่งผมเชื่อว่าช่วงอายุมีผลนะ ในช่วงที่ดิ้นรนหนักๆ ผมเคยหม่นหมอง ก่นด่าชะตากรรมบ้าง แต่พอผ่านมันมาแล้วย้อนกลับไปมอง มันเลอะเทอะมากเลย แล้วพอผ่านมาได้ ผมว่ามันคุ้มค่ามากๆ
แล้วที่ผมดูกระปรี้กระเปร่า เหตุผลส่วนหนึ่งเพราะผมเป็นคนเล่นข้างถนนด้วยนะ มันเลยทำให้ผมต้องร่างกายแข็งแรง มันเป็นงานที่ต้องใช้ร่างกาย แล้วพอร่างกายแข็งแรง ทุกอย่างมันเลยสดใสร่าเริงมาก
ส่วนหนึ่งที่ผมดูแลร่างกายเพราะผมเป็นคนขี้อวดด้วย ก็ทำไมล่ะ ไม่อวดหุ่นจะให้ผมไปอวดอะไร จะให้ผมสูบบุหรี่อวดเหรอ ให้ผมอวดถุงลมโป่งพองเหรอ ผมว่าถ้าคุณไม่หมั่นไส้ผมจนเกินไปนะ ผมเนี่ยโคตรน่าเอาเป็นตัวอย่างเลยนะ ผม 52 แล้ว ผมได้ใช้ชีวิตแบบนี้ ส่วนคุณอยากใช้ชีวิตแบบไหนคุณก็ทำเอาสิ หาตัวอย่างดีๆ แล้วก็ก๊อบปี้เลย แล้วรู้ไหมว่าผมก๊อบปี้ใคร ผมก๊อบปี้ พี่เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ นะเว้ย ผมก๊อบปี้เบอร์หนึ่งของประเทศ!
คุณก๊อบปี้เบิร์ด ธงไชย ตรงไหนมาบ้าง
พี่เบิร์ดอายุ 60 แล้ว คุณดูเขาสิ โอ้โห ผมไม่สนหรอก ถ้าพี่เบิร์ดทำได้ ผมก็ต้องทำได้ ใครจะหมั่นไส้พี่เบิร์ดก็ช่าง ผมนี่กราบพี่เบิร์ดเลย ทั้งดูแลร่างกาย ทั้งการใช้ชีวิต ผมว่าปรับทัศนคติเราเถอะครับ เจออะไรดีๆ แล้วก๊อบเลย เอาเวลาไปพัฒนาตัวเองดีกว่า
ชีวิตผมไม่เคยทำสีนะ ผมถือว่าบาดแผลนี้มีไว้อวด มีเซเหมือนกันนะเวลาเจอคนหมั่นไส้แล้วก็ก่นด่าเราในเฟซบุ๊ก แต่ผมถือว่าจำนวนน้อย ไม่เป็นไร เพราะแลกกันแล้วมันคุ้ม โอ้โห ท้องฟ้าออกจะกว้าง มีเมฆดำลอยมาก้อนหนึ่ง เดี๋ยวมันก็ผ่านไป
ตกลง พิง ลำพระเพลิง เป็นคนขี้อวด
(หัวเราะ) นั่นแหละชีวิตผม ผมเป็นคนขี้อวด คุณดูเฟซบุ๊กผมสิ ผมอวดกระจาย แต่ถามว่าระหว่างที่อวดมีความสุขไหม ผมมีความสุขกับมัน เพราะผมอวดในสิ่งที่ผมเป็น ผมไม่เคยฝืน
ชีวิตผมไม่เคยทำสีนะ ผมถือว่าบาดแผลนี้มีไว้อวด มีเซเหมือนกันนะเวลาเจอคนหมั่นไส้แล้วก็ก่นด่าเราในเฟซบุ๊ก แต่ผมถือว่าจำนวนน้อย ไม่เป็นไร เพราะแลกกันแล้วมันคุ้ม โอ้โห ท้องฟ้าออกจะกว้าง มีเมฆดำลอยมาก้อนหนึ่ง เดี๋ยวมันก็ผ่านไป
คุณซื้อของเหล่านี้เพราะอะไร มันตอบสนองชีวิตคุณในแง่ไหนบ้าง
ผมชอบเพราะว่าตอนเด็กๆ ผมขาด ตอนเด็กๆ ผมไม่มีตุ๊กตาเลยแม้แต่ตัวเดียว อยากเล่นตุ๊กตุ่นผมก็ไม่มี แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้คุณกำลังมองคนที่ทำงานอยู่ที่บ้านตลอด 24 ชั่วโมงนะครับ
ผมนั่งเขียนบทอยู่ที่ออฟฟิศนี้ ผมไม่ออกไปไหนเลย เพราะฉะนั้นถ้ารู้สึกว่าอะไรที่มันจะเติมเต็มความสุขของผมได้ ผมจะทำ
ผมเขียนบทอยู่กับบ้าน เดี๋ยวผมก็เดินมาเล่นตุ๊กตา อย่างแบทแมน เดี๋ยวผมก็ให้มันถือดาบ ถือปืน เปลี่ยนอาวุธตลอดเวลา แฟนผมถามตลอดแหละว่าจะปกป้องโลกอะไรนักหนา (หัวเราะ) ผมเล่นอยู่คนเดียว ทำเสียงประกอบด้วย มีความสุขมาก แล้วผมก็อวดสิ่งที่ผมมีความสุข ผมอวดในสิ่งที่ผมเป็น ผมว่ามันโอเคนะ
ผมว่าตัวละครชื่อ พิง ลำพระเพลิง นาทีนี้มาถึงประมาณช่วงท้ายๆ ของหนังแล้วล่ะครับ ผมรู้สึกว่าตัวละครมันมีความสุข เป็นหนังแฮปปี้เอนดิ้งแล้ว ความต้องการในชีวิตมันลดน้อยถอยลงมาก ที่เหลือหลังจากนี้คือแค่ประคองๆ ชีวิตไปเท่านั้นเองครับ
คิดว่าอะไรคือเรื่องล่าสุดที่ พิง ลำพระเพลิง ได้เรียนรู้ชีวิตในช่วงวัย 52
ในชีวิตวัย 52 ผมรู้สึกว่าไม่มีอะไรควรค่าแก่การไม่สบายใจเลยแม้แต่น้อย โอเค บางทีมันหลีกเลี่ยงไม่ได้หรอกที่จะมีวูบๆ เข้ามา แต่ผมพยายามไม่ใส่ใจ เพราะสุดท้ายแล้วเดี๋ยวมันก็จะผ่านไป
ถ้าคุณนอนไม่หลับ อย่าไปกลุ้มใจที่นอนไม่หลับ เดี๋ยวร่างกายไม่ไหวมันก็หลับของมันเอง ไม่เคยมีใครตายจากการนอนไม่หลับ แต่ที่เขาตายเพราะเขาเสือกไปกลุ้มใจกับการนอนไม่หลับ เช่นเดียวกัน ทัศนคติทั้งนั้นแหละครับที่ทำให้เรามีความสุขในแต่ละวันได้ มันมีแน่ๆ คนที่จะหมั่นไส้เรา ไม่ใช่เรื่องแปลก เรายังเคยหมั่นไส้คนอื่นเลย เพียงแต่เราจะปรับทัศนคติยังไงกับสิ่งที่เข้ามาในชีวิต คุณจะใส่ใจคนที่เขาไม่รักคุณ หรือคุณควรจะสนใจคนที่เขารักคุณ ระหว่างสองอย่างนี้ผมเลือกสนใจคนที่เขารักผมดีกว่า สิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่เคล็ดลับอะไรหรอก มันก็คือสิ่งที่ผมอ่านมาจากหน้าเฟซบุ๊กนี่แหละ เพียงแต่ผมรู้สึกว่ามันจริง มันนำมาใช้ได้เลย
มีคนรุ่นใหม่เยอะมากที่อยากมีอาชีพเป็นคนเขียนบทละคร บทภาพยนตร์ ในฐานะรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์มากมาย คุณมีเคล็ดลับอะไรจะแนะนำรุ่นน้องบ้างไหม
เคล็ดลับในการเขียนบทของผมคือเอาอารมณ์ตัวเองเป็นหลัก ถูกผิดผมไม่รู้นะครับ แต่ในวันที่ผมอิจฉาใคร ผมพิจารณาตัวเองว่าทำไมถึงอิจฉาเขาวะ จากนั้นผมเก็บความอิจฉานี้เอาไปใส่ให้ตัวร้ายในเรื่อง ในวันที่ผมบริจาคเลือด ทำไมเรารู้สึกอยากทำดีจังเลยวะ ผมเก็บความรู้สึกนี้ไปใส่ให้ตัวละครดีของผม
ผ่านไปสักพัก เพิ่งบริจาคเลือดมาแท้ๆ ขับรถเลี้ยวเข้าห้างสรรพสินค้า โดนแย่งที่จอดรถ ทำไมโมโหวะ ไม่กี่นาทีก่อนเลือดยังให้คนอื่นได้ แต่กับที่จอดรถทำไมโมโห ตรรกะนี้แสดงว่าที่จอดรถมีค่ากว่าเลือดคุณเหรอ ทุกอย่างเราพิจารณาจากตัวเองแล้วนำความรู้สึกเหล่านั้นไปแบ่งปันให้กับตัวละคร ใส่ให้ตัวร้าย ใส่ให้ตัวดี เอาความต้องการของตัวละครเป็นหลัก แล้วเราจะเขียนบทได้แบบไหลลื่น เพราะว่าทุกอย่างบนโลกใบนี้เคลื่อนไหวไปตามความต้องการของตัวละคร หรือแม้แต่ตัวเราก็เถอะ เราเองก็เคลื่อนไหวไปตามความต้องการของตัวเอง ฉะนั้นถ้าเราจับความต้องการของตัวละครได้นะ เราไม่มีทางตัน เช่นเดียวกัน ชีวิตผมไม่มีทางตัน เพราะผมหาความต้องการของตัวเองเจอ
ถ้าอย่างนั้นตัวละครชื่อ พิง ลำพระเพลิง ในเวลานี้ต้องการอะไรบ้าง เพราะดูเหมือนชีวิตจะแฮปปี้สมบูรณ์พร้อมไปหมดแล้ว
ผมว่าตัวละครชื่อ พิง ลำพระเพลิง นาทีนี้มาถึงประมาณช่วงท้ายๆ ของหนังแล้วล่ะครับ ผมรู้สึกว่าตัวละครมันมีความสุข เป็นหนังแฮปปี้เอนดิ้งแล้ว ความต้องการในชีวิตมันลดน้อยถอยลงมาก ที่เหลือหลังจากนี้คือแค่ประคองๆ ชีวิตไปเท่านั้นเองครับ
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์