วิกฤตเด็กเกิดต่ำสุดครั้งแรกในรอบ 75 ปี ไม่สะเทือน บมจ.มุ่งพัฒนา อินเตอร์แนชชั่นแนล ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าแม่และเด็กแบรนด์ pigeon เผย ขวดนมขายดีและเป็นที่นิยมของแม่ใน Gen Y กำลังซื้อสูง แต่ยังหวั่นตลาดต่างจังหวัดแข่งขันสูงจากแบรนด์โลคัลหั่นราคาขายหวังช่วงชิงลูกค้า
เมธิน เลอสุมิตรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มุ่งพัฒนา อินเตอร์แนชชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตัวเลขของเด็กเกิดใหม่น้อยลงทุกๆ ปี ต้องบอกว่าไม่ได้กระทบบริษัท ที่ผ่านมาเราเติบโตสวนทางกัน เนื่องจากครอบครัวตัดสินใจมีลูกน้อยลง สิ่งที่ตามมาคือความพร้อมและมีกำลังซื้อในการดูแลคุณภาพของลูก จึงทำให้กลุ่มสินค้าแม่และเด็ก โดยเฉพาะเซ็กเมนต์พรีเมียมได้รับความนิยมมากขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- อัตราการเกิดน้อย แต่คนโสดพุ่งสูงในรอบ 90 ปี ระเบิดเวลาลูกใหญ่ของญี่ปุ่นที่อาจเกิดขึ้นที่ไทย
- ยุค ‘คนโสด’ ครองเมือง ปรากฏการณ์ใหม่ทำอัตราเกิดดิ่งเหว เมื่อคนใช้ชีวิตลำพังพุ่งสูงขึ้น
- โรงเรียนอนุบาลจีนปิดตัว 20,000 แห่งใน 2 ปี สะท้อนปัญหาเด็กเกิดน้อย เพราะคนไม่อยากมีลูกจากค่าใช้จ่ายสูง
เช่นเดียวกับมุ่งพัฒนา ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมธุรกิจผลิตภัณฑ์สำหรับแม่และเด็กมากว่า 40 ปี โดยมีแบรนด์ pigeon เป็นสินค้าที่มีต้นกำเนิดจากญี่ปุ่น ในช่วงเริ่มแรกบริษัทเป็นแค่ตัวแทนนำเข้าสินค้าเข้ามาจำหน่ายในไทยเท่านั้น แต่เมื่อเริ่มประสบความสำเร็จในการทำตลาด จากนั้นจึงจับมือกับบริษัท pigeon ในญี่ปุ่น ลงทุนสร้างโรงงานในไทย เพื่อพัฒนาและผลิตสินค้าจำหน่ายในไทย โดยยึดจุดแข็งของโรงงานให้มีทีม R&D ทำหน้าที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ ที่นำมามาจากอินไซต์ความต้องการของแม่ยุคใหม่ จากนั้นก็จะทดลองจำหน่ายในไทย หากได้รับการตอบรับดีถึงจะขยายไปในแถบเอเชีย
ถึงวันนี้สิ่งที่น่าสนใจของเทรนด์แม่ยุคใหม่ในแต่ละเจเนอเรชันจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะ Gen Y พื้นฐานของคน Gen นี้จะเปรียบเสมือนเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ต้องดูแลพ่อแม่ ต้องเก่งทุกอย่าง ซึ่งถ้ามีลูกก็ต้องการเครื่องมือมาช่วยเลี้ยงลูกได้สะดวกขึ้น
อีกหนึ่งเทรนด์คือปัจจุบันสังคมมีความหลากหลายของคน ทั้ง LGBTQIA+ ที่เท่าเทียมแล้ว ทุกคนสามารถทำหน้าที่แม่ได้ ไม่เว้นแม้แต่หญิงพิการก็สามารถมีลูกได้หากมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยสนับสนุน โดยเทรนด์ทั้งหมดเป็นที่มาทำให้สินค้าของ pigeon ต้องมีนวัตกรรมเข้ามาช่วยเลี้ยงลูกได้ง่ายขึ้น
สำหรับแบรนด์ pigeon มีสินค้ากว่า 700-800 รายการ หลากหลายราคา ส่วนใหญ่เน้นเจาะกลุ่มผู้บริโภคระดับกลางและบน ที่ผ่านมาสร้างรายได้เติบโตถึง 15% และสามารถสร้างยอดขายขวดนมได้มากเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากอินโดนีเซีย อันดับ 2 และจีนในอันดับ 1
ทั้งนี้ ยอดขายส่วนใหญ่มาจากช่องทางโมเดิร์นเทรดและช่องทางออนไลน์ ที่ผ่านมาได้ขยายช่องทางขายครอบคลุม ซึ่งออนไลน์นั้นเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากปัจจัยของพฤติกรรมแม่หลังคลอดที่ไม่มีเวลาไปซื้อของให้ลูก ก็จะเลือกซื้อผ่านมาร์เก็ตเพลสต่างๆ ซึ่งเห็นได้ชัดในช่วงโรคโควิดที่ยอดขายเติบโตแรงถึง 27%
ขณะเดียวกันการทำตลาดก็มีความท้าทาย ปัจจุบันภาพรวมตลาดสินค้าขวดนมและจุกนมเด็กมีมูลค่า 1.5 พันล้านบาท pigeon ถือส่วนแบ่งตลาดเกิน 50% แต่หนีไม่พ้นการแข่งขันที่นับวันยิ่งรุนแรงขึ้น เห็นได้จากการที่มีผู้เล่นรายใหม่ๆ ทั้งจากเกาหลีและยุโรปกระโดดเข้ามาและนำสินค้าที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาดึงลูกค้า
“ส่วน pigeon เป็นแบรนด์ญี่ปุ่น เราไม่กังวลแบรนด์คู่แข่งที่มาจากต่างชาติ แต่คู่แข่งโลคัลในไทยน่ากลัวมากกว่า เพราะแบรนด์นำเข้าจากต่างประเทศจะมีราคาสูงไม่ทิ้งห่างจากเรามาก ขณะที่โลคัลแบรนด์จะมีราคาเข้าถึงง่าย ซึ่งจะได้เปรียบในตลาดต่างจังหวัดมากกว่า” เมธินย้ำ
นอกจากสินค้าแม่และเด็กแล้ว ธุรกิจของบริษัทแบ่งเป็น 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ครอบคลุมการเติบโตของผู้บริโภคตั้งแต่เกิดจนสูงวัย ได้แก่
- กลุ่มผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก ถือเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก มีสัดส่วนรายได้การขายกว่า 60% จากรายได้รวมของบริษัท
- กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลและครัวเรือน ภายใต้แบรนด์ V care เช่น สำลีทารกและผู้ใหญ่ ผ้าเช็ดทำความสะอาดแบบเปียก ยาสีฟันสมุนไพร ฯลฯ ตามด้วยแบรนด์ FOGGY ผลิตภัณฑ์กระบอกฉีดน้ำ
- กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม เครื่องดื่มสมุนไพร แบรนด์เบา และลูกอม Himalaya ซึ่งพัฒนาขึ้นมาตอบรับเทรนด์การดูแลสุขภาพที่กำลังมาแรง
- กลุ่มผลิตภัณฑ์ผู้สูงอายุ V care ผลิตภัณฑ์สบู่เหลวและแชมพูแบบไม่ต้องล้างออก และ MUMU ผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมสำหรับผู้ใหญ่
กลยุทธ์ทั้งหมดนี้จะช่วยสร้างการเติบโตให้กับบริษัทได้อย่างยั่งยืน และจะช่วยตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์แม่และเด็กได้ด้วยเช่นกัน